OMAD วิธีการลดน้ำหนักแบบใหม่ ได้ผลจริงหรือไม่

ไม่ว่าใครก็อยากที่จะมีหุ่นดี เพราะไม่ว่าจะสวมใส่เสื้อผ้าตัวไหนก็ช่วยสร้างความมั่นใจให้เราได้เสมอ แต่ปัญหาอยู่ตรงที่น้ำหนักตัวมันสวนทางกับความคิด บางคนตั้งมั่นที่จะลดน้ำหนัก แต่ก็อดกินอาหารอร่อยๆ ที่ตัวเองชอบในปริมาณที่เยอะๆไม่ได้อยู่ดี

และเมื่อไม่นานมานี้เอง กระแส OMAD ก็ทำให้ทุกคนฮือฮา โดยเฉพาะสาวๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ซึ่ง OMAD ที่ว่านี้ก็คือ

วิธีการลดน้ำหนักแบบ One Meal A Day ที่แปลเป็นภาษาไทยว่า การกินอาหารแบบมื้อเดียวต่อวัน นั่นเอง

พอได้ยินแบบนี้แล้ว หลายคนก็ถึงกับขมวดคิ้วเพราะเป็นกังวลว่าวิธีนี้จะได้ผลจริงหรือเป็นแค่กระแสมั่วๆ หลอกลวงชาวโลกเท่านั้น อีกอย่างคือกังวลว่ามันจะมีความเสียงต่อสุขภาพของเราหรือไม่ เพราะโดยปกติสารอาหารที่เหมาะสมกับมนุษย์คือ 3 มื้อต่อวัน ไม่ใช่หรือ

วันนี้เราจะพาทุกคนหาคำตอบไปพร้อมๆ กัน

OMAD มีวิธีการกินอย่างไร?

OMAD คือ การกินเพียง 1 มื้อต่อหนึ่งวัน โดย 1 มื้อที่ว่านี้สามารถเลือกมื้อหรือเวลากินได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะมื้อเช้า มื้อเที่ยง หรือมื้อเย็น และกินอาหารอะไรได้ก็ได้ตามใจชอบ

ที่สำคัญคือกินได้ภายในระยะเวลาแค่ 1 ชั่วโมงเท่านั้น โดยในระหว่างวันจะต้องไม่กินหรือดื่มอะไรที่มีแคลรอรี่เข้าไปในร่างกายเด็ดขาด ยกเว้น ‘น้ำเปล่า’ ซึ่งทันที่ที่คุณเริ่มอดอาหาร กลไกลของร่างกายจะยังคงต้องใช้พลังงานตามปกติ เป็นผลให้พลังงานแคลอรี่ และไขมัน ลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

หลังจากอดอาหารมาเป็นเวลา 12 ชม. ไกลโคเจน ซึ่งเป็นสารอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต ที่ช่วยผลิตพลังงานสำรองให้กับร่างกายจะหมดไปในที่สุด

แต่ทั้งนี้ ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแบบ OMAD ไม่ควรที่จะหักโหมร่างกายตัวเองมากจนเกินไป ควรเพิ่มความยืดหยุ่นให้เหมาะสมกับร่างกายของเราด้วย เช่น หากวันนั้นคุณใช้พลังงานไปมากกว่าวันปกติ หรืออาจจะพึ่งกลับมาจากออกกำลังกาย เล่นกีฬาหนักๆ ก็ควรหาเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลรอรี่ดื่มในระหว่างวัน เช่น กาแฟดำ หรือชาเขียว เป็นต้น

สาวๆ หลายคน เคยลองใช้วิธีลดน้ำหนักแบบ OMAD ปรากฏว่าได้ผลดีเกินคาด จึงทำให้การลดน้ำหนักด้วยวิธีการนี้เป็นที่นิยมโดยเฉพาะในต่างประเทศ เคยมีคนออกมารีวิววิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานอาหารเพียงแค่มื้อเดียวต่อวันติดต่อกันเป็นระยะเวลา 7-8 เดือน

ปรากฏว่าน้ำหนักตัวของเธอลดลงไปถึง 50 กิโลกรัมเลยทีเดียว จากที่ก่อนหน้านี้เธอหนักเกือบ 100 กิโลกรัม มันเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆ เลย

อย่างไรก็ตามสำหรับในช่วงแรกๆ อาจส่งผลทำให้ผู้ลดน้ำหนักโดยใช้วิธีนี้เกิดภาวะหงุดหนิดง่าย คุณอาจรู้สึกเหนื่อยล้าในตอนแรกประมาณ 2-3 วัน แต่จากนั้นร่างกายของคุณจะปรับเข้ากับอาหารอย่างรวดเร็ว และรู้สึกว่ามันไม่ทรมานกับร่างกายของคุณอีกต่อไป

สำหรับใครที่อยากลองลดน้ำหนักด้วยวิธี OMAD เรามีข้อแนะนำดังต่อไปนี้

– แม้ภายในระยะเวลา 1 ชั่วโมง คุณอาจสามารถเลือกกินอะไรก็ได้ตามใจปาก แต่จะดีกว่าไหม ถ้าอาหารในหนึ่งมื้อหรือ 1 ชั่วโมงนี้ คุณกินอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วนตามที่ร่างกายควรจะได้รับ คือ โปรตีน คาร์โบ ไขมัน รวมทั้งแร่ธาตุวิตามินและไฟเบอร์ โดยจะเน้นไปทางผักและไข่เป็นส่วนใหญ่

– ควรทานหนึ่งมื้อในช่วงเวลา 16.00-18.00 โดยประมาณ เพราะหลังจากที่เมื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ร่างกายควรได้รับรางวัลมากที่สุด

– หลายคนที่กลัวว่าจะทานอาหารไม่ครบทั้ง 5 หมู่ในมื้อนั้นๆ ก็สามารถเลือกทานอาหารเสริมตามเข้าไปได้

นักวิทยาศาสตร์มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร

จากการวิจัยและศึกษาในปี 2560 กับการทดลองพบว่าผู้ที่รับประทานอาหาร 1-2 มื้อต่อวันมีค่า BMI ลดลงอย่างมาก ซึ่งค่า BMI ที่ว่านี้ คือค่าดัชนีที่ใช้ชี้วัดความสมดุลของน้ำหนักตัว

และยังพบอีกว่าการอดอาหารติดต่อกันเป็นระยะเวลา 6 สัปดาห์ จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดและน้ำหนักตัวของผู้ป่วยโรคเบาหวานดีขึ้นอีกด้วย แต่ก็ใช่ว่า OMAD จะไม่มีข้อเสียเลย เหมือนกับเหรียญที่ย่อมมีสองด้านเสมอ ไปดูกันว่าการลดน้ำหนักแบบ OMAD มีข้อดีข้อเสียอย่างไร

ข้อดี VS ข้อเสีย ของ OMAD

ข้อดี

– ลดน้ำหนักได้อย่างรวดเร็ว
– สามารถกินอาหารที่ชอบได้ตามความต้องการ
– ควบคุมง่าย ไม่ต้องเสียเวลานั่งนับแคลอรี่
– ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ลดการเกิดโรคเบาหวาน
– ร่างกายสามารถย่อย และขับถ่ายได้ง่ายขึ้น

ข้อเสีย

– ไม่เหมาะกับคนที่มีความอดทนน้อย
– ได้รับพลังงานน้อย
– ร่างกายอ่อนเพลีย เมื่อยล้าเร็วกว่าปกติ
– เมื่อร่างกายหิวมาก อาจทำให้หงุดหงิด และเกิดความเครียดได้

OMAD กับการอดอาการ 23 ชั่วโมง หรือกำหนดช่วงเวลาคือ 23:1 ไม่กินอะไรเลย 23 ชั่วโมง และกินภายใน 1 ชั่วโมงมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับใครหลายๆ คน แม้จะทำให้น้ำหนักของคุณลดลงอย่างรวดเร็วก็ตาม แต่ยังถือได้ว่าเป็นวิธีที่ผิดธรรมชาติ

หากร่างกายของคุณยังไม่พร้อมที่จะรับมือกับการลดน้ำหนักด้วยที่วิธีที่สุดโหดเช่นนี้ ก็อย่าพยายามไปฝืนร่างกายของตัวเองเลย เพราะแม้ว่าคุณจะได้มาซึ่งหุ่นที่สวย แต่อาจต้องแลกกับสุขภาพจิตใจที่ย่ำแย่

ดังนั้น ก่อนคิดจะเลือกลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้ บางครั้งคุณอาจต้องลองชั่งใจ และไตร่ตรองดูก่อน เพื่อความปลอดภัยของตัวคุณเอง