วิธีการกำจัดเสมหะด้วยตัวคุณเอง

โดยปกติแล้ว เมื่อมีเสมหะร่างกายของเราจะสามารถขับเสมหะออกมาได้เองตามธรรมชาติอยู่แล้ว

เพราะระบบทางเดินหายใจของคนเราจะมีการสร้างมูกขึ้นเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดความชุ่มชื้น ช่วยป้องกันและกำจัดเชื้อโรคภายในทางเดินหายใจ

มูกที่เกิดขึ้นนี้จะถูกขับออกมาทางปากเราตามที่เรามักเรียกกันว่า ‘เสมหะ’ แต่โดยปกติ เรามักจะกลืนลงท้องไปเองตามวิสัยธรรมชาติของมนุษย์ หรือมีการติดเชื้อเกิดขึ้นภายในระบบทางเดินหายใจในเวลาต่อมา

การหลั่งสารต่างๆ หรือมูกนั้นก็จะเพิ่มปริมาณมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มสารที่เป็นโปรตีนเมื่อมาก่อตัวรวมกันมันจะจับกลุ่มทำให้เสมหะเกิดความเหนียวข้นมากขึ้น จนทำให้เสมหะถูกขับออกมายากขึ้นตามไปด้วย

หลายคนมักจะมีอาการไอเป็นประจำร่วมกับมีเสมหะมาก นั่นสะท้อนสัญญาณเตือนว่าร่างกายของเรามีการอักเสบเรื้อรังเกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ

ยิ่งหากเป็นผู้ที่ชอบสูบบุหรี่จัดมาก่อนย่อมมีอาการติดเชื้อหลอดลมอย่างรุนแรงจนกระทั่งหลอดลมเกิดการอักเสบเรื้อรัง ทำให้หลอดลมนั้นเสียความยืดหยุ่นจนเกิดเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

และไม่ว่าจะกรณีใดก็ตาม อาการที่หลายคนมักเผชิญพ้องต้องกันก็คือ มีเสมหะมาก รวมถึงมีอาการไอ เหนื่อยหอบง่าย การหายใจติดขัดลำบาก ดังนั้นแล้ว

หากคุณเองก็มีอาการใดอาการหนึ่งดังที่เรากล่าวไปเบื้องต้น สามารถบรรเทาอาการด้วยตนเองได้เช่นกันค่ะ โดยทำตามคำแนะนำจากเราดังนี้

กำจัดเสมหะด้วยอาหาร

1.กินอาหารให้เหมาะสม

ผู้ที่มีเสมหะภายในลำคอมากควรหันมากินอาหารไทยประเภทต้มแกงที่มีรสชาติเผ็ดร้อน เช่น แกงส้ม ต้มยำ แกงเลียง แกงแค ส้มตำ ยำและน้ำพริกก็ได้เช่นเดียวกัน

เนื่องจากความเผ็ดร้อนจากเครื่องสมุนไพรไทยที่นำมาประกอบอาหารมีฤทธิ์ช่วยขับเสมหะและช่วยให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้นได้นั่นเอง

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ใครที่กินอาหารเผ็ดจัดไม่ได้ก็ไม่จำเป็นต้องกินรสเผ็ดร้อนเสมอไป หันมาเลือกกินรสชาติเผ็ดร้อนปานกลางในแบบที่คุณพอซดร้อนๆ ให้คล่องคอได้ก็นับว่าช่วยขับเสมหะได้ง่ายขึ้นแล้วค่ะ

อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ อาหารมันๆ ทอดๆ เพราะจะกระตุ้นให้ยิ่งมีเสมหะและมีอาการไอหนักรุนแรงเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้ บรรดาขนมหวานต่างๆ ที่คุณโปรดปรานก็ควรละเว้นไปก่อนเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าจะเป็นเค้ก ไอศกรีม โดนัท ช็อกโกแลต กะทิและครีมเทียมที่ใช้ปรุงรสชาติชา กาแฟ เป็นต้น อาหารที่มีส่วนผสมจากน้ำตาลและไขมันในระหว่างนี้ก็ควรงดไปก่อนด้วยจะดีที่สุด

2.กินอาหารที่ให้วิตามินซีสูงเพิ่มภูมิต้านทาน

การที่เรามีเสมหะหรือมีปัญหาด้านระบบทางเดินหายใจ สาเหตุอันเนื่องมาจากการเป็นหวัดหรือเป็นภูมิแพ้อากาศซึ่งอาจจะเป็นโรคประจำตัวของใครหลายคนไปแล้ว

สาเหตุที่เราป่วยเป็นเช่นนี้ได้ง่ายก็เพราะภูมิคุ้มกันโรคของเราอ่อนแอไม่แข็งแรงนั่นเอง ดังนั้น เราจึงควรหันมากินอาหารที่ให้วิตามินซีสูงเพื่อเสริมสร้างให้ระบบภูมิคุ้มกันโรคแข็งแรงยิ่งขึ้น

เมื่อเกราะป้องกันโรคแข็งแรงอาการเรื้อรังที่คุณเป็นอยู่ก็จะค่อยๆ ทุเลาและหายเร็วขึ้นได้ นอกจากนี้ มันยังช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อแบคทีเรียที่อาจทำให้เป็นหวัดได้สูงขึ้นด้วย

กินอย่างไรให้ได้วิตามินซีสูง

สำหรับอาหารที่ควรกินเสริมเพื่อช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรงและควรกินอย่างสม่ำเสมอก็คือ อาหารที่ให้วิตามินซีสูงโดยหากินได้จากผักผลไม้รอบตัวหลายชนิด

โดยเฉพาะผลไม้สดที่ให้รสเปรี้ยวเพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินซีโดยตรง หากมีเวลาอาจจะคั้นน้ำผลไม้สดอย่างน้ำส้มก็ได้ หลังจากที่คุณคั้นสดเสร็จแล้วก็ควรรีบดื่มทันที

เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นานเกินไปวิตามินก็จะสูญเสียไปกับอากาศได้ นอกจากนี้ น้ำมะขามป้อมก็นับเป็นทั้งสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการช่วยเสริมภูมิต้านทานให้เราได้เช่นเดียวกัน เพราะเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงมากกว่าบรรดาผลไม้ไทยทุกชนิดนั่นเองค่ะ

แต่ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำผลไม้ที่วางจำหน่ายเป็นกล่องสำเร็จรูปนะคะ เพราะนอกจากไร้ซึ่งวิตามิน แร่ธาตุใดๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังมีน้ำตาลที่ให้ความหวานสูงยิ่งดื่มยิ่งมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด

ทำให้ระดับของอินซูลินแปรปรวนยิ่งขึ้น อีกทั้งความหวานของน้ำผักผลไม้บรรจุกล่องเหล่านั้นยังสามารถกระตุ้นให้คุณมีอาการไอมากขึ้นได้ด้วย

นอกเหนือจากนี้แล้ว ใครที่ไม่ค่อยได้กินผักผลไม้เท่าใดนักก็สามารถหันมากินวิตามินซีเม็ดเสริมแทนก็ได้เช่นกันค่ะ กินเป็นประจำ ร่างกายก็จะได้รับวิตามินซีเพื่อช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้อย่างแข็งแรงมากขึ้นแล้ว

บริหารการหายใจเป็นประจำ

ผู้ป่วยที่มีอาการไอมาเป็นระยะเวลายาวนาน มักจะมีปัญหาหลอดลมอักเสบเรื้อรัง ส่งผลกระทบให้หลอดลมอ่อนแอและเสื่อมสภาพง่าย บางคนยิ่งไอติดต่อกันถี่เป็นระยะบ่อยๆ จะยิ่งมีอาการเจ็บหน้าอกและเหนื่อยหอบเสมอ

ดังนั้น การบริหารการหายใจจะช่วยเรียกคืนความแข็งแรงของหลอดลมกลับคืนมาให้คุณได้

โดยวิธีการบริหารนั้นง่ายมาก ทำได้ด้วยการสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ช้าๆ ให้ลมหายใจค่อยๆ หลั่งไหลเข้าไปยังปอดเต็มที่จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ จนหมด แล้วจึงสูดลมหายใจกลับเข้าไปอีกครั้ง

โดยเน้นหลักการหายใจเข้า-ออกยาวๆ ช้าๆ บริหารการหายใจเช่นนี้ซ้ำ 20 ครั้ง ทำเป็นประจำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น

การหมั่นบริหารเช่นนี้บ่อยๆ จะช่วยสร้างความแข็งแรงให้หลอดลมและทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานดีขึ้นได้ด้วย ออกซิเจนก็จะเข้าสู่ปอดมากขึ้น กระบวนการฟอกเลือดในปอดก็จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้สุขภาพดี มีผิวพรรณผ่องใสตามมาได้ด้วยค่ะ

การกำจัดเสมหะด้วยสมุนไพร

เมื่อมีเสมหะเกิดขึ้นเราไม่ควรปล่อยเฉยไว้ ควรหาวิธีกำจัดเสมหะให้หมดไป เพราะนอกจากจะเป็นการตัดความน่ารำคาญ ป้องการเสียบุคลิกภาพที่ดีได้แล้วยังทำให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น หลอดลมก็จะทำงานราบรื่น หายใจไม่ติดขัดลำบากอีกต่อไป

แต่หากคุณปล่อยให้เสมหะเกิดการคั่งค้างหรือสะสมภายในเป็นเวลานานก็จะเกิดการสะสมเชื้อแบคทีเรียในปริมาณสูงจนมันมีการเปลี่ยนสี ส่งผลให้ผู้ป่วยมีไข้และทำให้มีอาการไอรุนแรงหนักขึ้นกว่าเดิมได้ ดังนั้นแล้ว เมื่อคุณพบว่ามีเสมหะภายในลำคอ เรามากำจัดเสมหะด้วยวิธีดังนี้กันดีกว่า

1.จิบน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งอุ่นๆ เป็นประจำ

เพราะน้ำผึ้งมีสรรพคุณช่วยละลายเสมหะได้ด้วยนั่นเอง เมื่อสองคุณค่าจากน้ำผึ้งและน้ำมะนาวมาผสานตัวรวมกันมันจะยิ่งมีฤทธิ์กลายเป็นยา สามารถต่อต้านการสะสมเชื้อแบคทีเรีย

โดยมันจะช่วยฆ่าเชื้อและลดอาการอักเสบระคายเคืองคอ ตลอดจนถึงช่วยบรรเทาอาการแก้ไอได้ด้วย และสารจากน้ำผึ้งยังมีส่วนช่วยให้เสมหะอ่อนตัวง่าย การขับเสมหะก็จะยิ่งถูกกำจัดได้ง่ายขึ้นตามเช่นกัน

2.สูดไอน้ำที่ผสมน้ำมันหอมระเหย

เพียงต้มน้ำเดือดมาเทลงในชามหรือหม้อใหญ่ก็ได้จากนั้นหยดน้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบตามลงไป เช่น กลิ่นคาโมมายล์ กลิ่นมะนาว ส้มหรือยูคาลิปตัส เป็นต้น โดยหยดลงไปผสม 2-3 หยด

จากนั้นคลุมศีรษะด้วยผ้าผืนใหญ่แล้วอังหน้าบนหม้อน้ำเดือดนั้น พร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ ลึกๆ เพื่อให้กลิ่นไอของน้ำมันหอมระเหยได้เข้าไปยังหลอดลมซึ่งมันจะช่วยกระตุ้นให้ระบบทางเดินหายใจโล่งขึ้น เสมหะก็จะละลายง่ายและถูกขับออกมาได้ง่ายยิ่งขึ้นด้วย

3.อบด้วยสมุนไพรไทย

การอบด้วยสมุนไพรไทยจะทำให้เราได้สูดดมกลิ่นน้ำมันหอมระเหยจากตัวสมุนไพรเข้าสู่ปอด และช่วยให้ระบบทางเดินทางใจโล่งขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้เวลาอบนาน 5-10 นาที

จากนั้นออกมานั่งพักให้ตัวเย็นค่ะแล้วจึงกลับเข้าไปนั่งอบใหม่ให้ครบอีก 3 รอบ หลังจากอบเสร็จแล้วให้คุณดื่มน้ำตามแก้วใหญ่ๆ สักประมาณ 1-2 แก้ว เพื่อให้เกิดอาการไอและขับเอาเสมหะออกมา เพียงเท่านี้ เสมหะก็จะถูกกำจัดออกได้ง่าย อีกทั้งทางเดินหายใจก็เป็นไปอย่างสะดวกยิ่งขึ้น

กำจัดเสมหะด้วยการสมุนไพรแทนการใช้ยาปฏิชีวนะ

ในระหว่างที่มีเสมหะมาก อาการอักเสบอาจเกิดขึ้นได้เป็นระยะ แต่การรักษาโดยใช้ยาปฏิชีวนะนั้นหากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไปย่อมไม่ใช่หนทางแก้ปัญหาที่ดีนัก เพราะไม่เพียงทำให้สิ้นเปลืองแล้ว

ยาดังกล่าวยังทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ร่วมด้วยได้ เช่น มีอาการท้องเสียและง่ายต่อการดื้อยา ขณะเดียวกัน

การใช้ยาก็สามารถช่วยควบคุมการติดเชื้อไม่ให้ลุกลามบานปลายหนักขึ้นได้หากมีอาการมาก แต่ก็ควรใช้ยาโดยอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ด้วยจึงจะปลอดภัยที่สุดและผลการรักษาอาการป่วยก็จะทุเลาเร็วขึ้นด้วย

อย่างไรก็ตาม คุณอาจจะหันมาใช้สมุนไพรรักษาแทนก็ได้เช่นกันค่ะ เช่น การใช้ฟ้าทะลายโจร โดยกินก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 3-4 เม็ด การกำจัดเสมหะก็จะค่อยๆ ดีขึ้นได้ตามลำดับ

การกำจัดเสมหะด้วยยา

กลุ่มยาที่ใช้ในการกำจัดเสมหะแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม ดังนี้

1.ยาขับเสมหะ (Expectorants)

เป็นยาที่ออกฤทธิ์เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับมูก เสมหะจึงมีลักษณะเหนียวข้นลดน้อยลง รวมทั้งยังช่วยให้การขับเสมหะออกจากร่างกายในระหว่างที่ไอได้ง่ายยิ่งขึ้น

การใช้ยาดังกล่าวเนื่องจากผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจมักจะมีเสมหะมากและเหนียวข้นอยู่แล้ว อีกทั้งยังแห้งเร็วกว่าปกติ ตลอดจนหายใจเร็วจนทำให้เยื่อเมือกในทางเดินหายใจและมูกเกิดการแห้งตัวเร็วกว่าปกติร่วมด้วย

2.ยาละลายเสมหะ (Mucolytics)

เป็นยาที่ใช้เพื่อออกฤทธิ์ทำลายการรวมตัวกันของโปรตีนที่จับตัวอยู่กับมูก เสมหะจึงมีลักษณะเหนียวข้นน้อยลง โดยฤทธิ์ของยาจะเข้าไปย่อยโปรตีนหรือมีปฏิกิรยาทางเคมีที่จะช่วยทำลายเสมหะเหนียวข้นกระทั่งเปลี่ยนให้ใสขึ้นได้

อีกทั้งความเหนียวหนืดก็จะลดลงจนทำให้การขับเสมหะออกมาได้ง่ายยิ่งขึ้นนั่นเองค่ะ

ข้อควรปฏิบัติในการใช้ยา

การใช้ยากำจัดเสมหะสำหรับเด็กสามารถใช้ได้ทั้ง 2 กลุ่มค่ะ ซึ่งแล้วแต่แพทย์จะเป็นผู้จ่ายยาให้ตามความเหมาะสมของอาการ นอกจากนี้ การใช้ยายังมีข้อพึงระวังในสตรีมีครรภ์ร่วมด้วย

สรุปโดยรวมแล้ว การใช้ยาในเด็กและสตรีมีครรภ์นั้นเพื่อให้ร่างกายปลอดภัยมากที่สุด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเสมอ

สำหรับการใช้ยากำจัดเสมหะในบุคคลทั่วไป จะต้องใช้ตามฉลากยาที่แนะนำให้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างได้ผลและมีประสิทธิภาพรวดเร็ว

เพราะหากทานยาไม่เคร่งครัดตามที่ฉลากระบุไว้ ผลการรักษาให้หายก็จะยิ่งยืดเยื้อออกไปทำให้ร่างกายผู้ป่วยเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนและยังเสี่ยงต่อการดื้อยาดื้อโรคด้วยนั่นเอง

ดูแลตัวเองขั้นพื้นฐานป้องกันการเกิดเสมหะ

เสมหะเป็นปัญหาเล็กๆ ที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเรา แม้อาจไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงระดับชาติ แต่ก็สร้างผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตในประจำวันให้เราได้อย่างมากมาย

ดังนั้น จะดีกว่าไหมหากเราไม่ต้องรอให้เจ็บป่วยหรือมีเสมหะภายในลำคอก่อนจึงค่อยหาวิธีรักษา แต่เราสู้หันมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตใหม่

โดยเริ่มจากการกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำ เน้นผักผลไม้ที่ให้วิตามินแร่ธาตุสูง ดื่มน้ำอย่างเพียงพอวันละ 8-10 แก้ว หมั่นออกกำลังกายอยู่เสมอ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

หากใครไม่มีเวลาใส่ใจเรื่องอาหารการกินก็หันมากินวิตามินซีเสริมเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้แข็งแรง

นอกจากนี้ การที่คุณชอบสูบบุหรี่เป็นประจำก็ย่อมทำให้หลอดลมย่ำแย่ เสี่ยงต่อการเกิดอาการไอเอื้อรัง มีอาการอักเสบและมีเสมหะในลำคอซึ่งยากต่อการขับออกมาได้ง่ายอีกด้วย

ดังนั้นแล้ว ใครไม่อยากป่วยหรือมีเสมหะให้พลอยหงุดหงิดใจไปทุกวัน อย่าลืมหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพให้แข็งแรงตามคำแนะนำเบื้องต้นกันนะคะ แล้วคุณจะพบว่าสุขภาพดีสร้างได้ง่ายสุดๆ เลยล่ะค่ะ