หลังจากผ่านพ้นช่วงเวลาแสนนานกับการอุ้มท้องทารกน้อยๆ ในครรภ์ ท่ามกลางการเฝ้าทะนุถนอมดูแลมาตลอดเป็นเวลา 9 เดือน
เมื่อวาระแห่งการคลอดลูกน้อยมาถึง ทั้งคุณแม่คุณพ่อและทุกคนภายในครอบครัว ต่างก็แช่มชื่นเบิกบานและมีความสุขใจยิ่งนักกับการได้ยลโฉมและโอบสัมผัสทารกน้อยแรกเกิด อันเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจแห่งชีวิต
ทว่าภายในเวลาไม่นาน คุณแม่บางท่านกลับไม่อาจยิ้มอย่างมีความสุขได้เต็มที่เสมอไป เพราะปัญหาสุขภาพบางอย่างกลับแทรกเข้ามาทำให้คุณหงุดหงิดกับการดำเนินชีวิตระหว่างวัน
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาท้องผูก ริดสีดวงทวารและอาการปัสสาวะบ่อยตลอดจนปัสสาวะเล็ด วันนี้เรามีวิธีการรับมือและรักษาอาการดังกล่าวในคุณแม่หลังคลอดมาฝากกัน มีอะไรบ้างนั้นมาติดตามพร้อมกันเลยค่ะ

1.ปัสสาวะบ่อยเกินไป ควรดื่มน้ำมากน้อยอย่างไรบ้าง?
ดื่มน้ำปริมาณมากช่วยบรรเทาอาการแสบคันได้
หากคุณแม่มีอาการแสบคันร่วมด้วยในขณะที่ปัสสาวะ และหากมีอาการปวดเสียวช่วงก่อนหรือหลังจากที่ปัสสาวะไปเสร็จแล้ว แนะนำให้ดื่มน้ำ 6-8 แก้วหรือดื่มมากประมาณ 2-3 ลิตรต่อวันก็จะช่วยบรรเทาอาการดังกล่าวลงได้
ดื่มน้ำน้อยแบคทีเรียจะเจริญเติบโตมากขึ้น
เนื่องจากคุณแม่หลังคลอดหลายคนพบปัญหาปัสสาวะบ่อยเกินไป ทำให้ไม่อยากลุกไปเข้าห้องน้ำหลายครั้ง บ้างก็ตัดปัญหาโดยการดื่มน้ำน้อยลง แต่คุณรู้ไหมว่าการที่เราดื่มน้ำน้อยลงนั้นจะทำให้แบคทีเรียที่อยู่ในบริเวณทางเดินปัสสาวะมีการกระจายตัวมากขึ้น ส่งผลให้แบคทีเรียเกิดการเจริญเติบโตจนอาจทำให้ทางเดินปัสสาวะอักเสบอันเนื่องมาจากการติดเชื้อได้
ดังนั้น คุณจึงไม่ควรลดปริมาณการดื่มน้ำ แต่ยิ่งต้องดื่มน้ำให้มากขึ้นเพื่อกำจัดล้างท่อปัสสาวะที่มีของเสียคั่งค้างอยู่ให้หมดไป เมื่อทางเดินปัสสาวะสะอาดเชื้อแบคทีเรียก็ลดน้อยลง
[alert-success]ฉะนั้น คุณแม่จึงไม่ควรปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำ แต่ควรใส่ใจการดื่มน้ำเรื่อยๆ ตลอดวัน อาจจะค่อยๆ ดื่มแบบจิบก็ได้เป็นระยะและไม่ควรกลั้นปัสสาะเด็ดขาด เพราะการอั้นปัสสาวะไว้นานก็ทำให้เชื้อแบคทีเรียเกิดการสะสมรวมตัวกันจนมีการเติบโตภายในกระเพาะปัสสาวะได้[/alert-success]
ควรพบแพทย์เพื่อรับยาเหมาะสมกรณียังให้นมบุตร
คุณแม่ที่มีปัญหาดังกล่าวพร้อมกับมีอาการไข้ร่วมด้วย ไม่แนะนำให้ซื้อยาทานเองเด็ดขาด โดยเฉพาะช่วงที่กำลังให้นมบุตร นอกเสียจากลูกหย่านมไปแล้วจึงสามารถซื้อยาทานเองได้ ดังนั้น คุณอาจจะทานยาปฏิชีวนะจากนั้นควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาและรับยาที่ไม่เป็นอันตรายต่อลูกมาทานพร้อมกันย่อมเป็นทางออกที่ถูกต้องที่สุด
2.ปัสสาวะเล็ดบ่อยครั้ง เกิดจากสาเหตุใดและควรแก้ไขอย่างไร?
สาเหตุหลักที่ทำให้คุณแม่หลังคลอดปัสสาวะเล็ดบ่อยครั้ง มีด้วยกัน 2 สาเหตุหลัก ดังนี้
1.คลอดบุตรมาแล้วหลายคน
สำหรับคุณแม่ที่ผ่านการคลอดบุตรมาแล้วหลายคนมักพบปัญหาปัสสาวะเล็ดได้บ่อยครั้ง และส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นกับคุณแม่ที่อายุมากแล้ว เนื่องจากบริเวณกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานเกิดการหย่อนยานไปตามสภาพวัย ยิ่งหากเคยคลอดบุตรมาหลายคนด้วยแล้วก็ย่อมง่ายต่อการฉีกขาด ดังนั้น การซ่อมแซมรักษาสำหรับกรณีนี้ก็อาจทำได้อย่างไม่ได้ผลดีพอเท่าไรนัก
2.อุ้งเชิงกรานไม่แข็งแรงพอที่จะบีบกลั้นปัสสาวะไว้ได้
อีกสาเหตุหนึ่งก็คือ เกิดจากการยืดขยายตัวของกล้ามเนื้อในบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยมีการส่งผลต่อมายังผนังเยื่อบุช่องคลอดจนทำให้ไม่สามารถกลั้นเก็บปัสสาวะเอาไว้ได้ เมื่อไรที่คุณแม่ไอหรือจามจึงมักพบว่าปัสสาวะเล็ดลอดออกมา ทั้งนี้ ก็เพราะอุ้งเชิงกรานของคุณแม่ไม่มีความแข็งแรงมากพอในการเกร็งตัวเพื่อกลั้นปัสสาวะเอาไว้นั่นเอง
การรักษาอาการปัสสาวะเล็ดบ่อย
วิธีที่ 1 รักษาด้วยยาและปรับพฤติกรรมใหม่
คุณแม่สามารถกินยาปฏิชีวนะในการรักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบได้ แต่ต้องเป็นยาที่แพทย์จ่ายให้โดยตรงเท่านั้น กรณีที่คุณแม่ยังคงให้นมบุตรไม่ควรซื้อยากินเอง นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้มากๆ และไม่ควรกลั้นปัสสาวะนานเกินไป หากปวดก็ควรรีบเข้าห้องน้ำทันทีเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาปัสสาวะเล็ดออก และที่สำคัญคุณแม่ควรบริหารช่องคลอดเป็นประจำ โดยหมั่นขมิบช่องคลอดบ่อยๆ ในระหว่างวัน อาจทำติดต่อกันสักประมาณ 5 ครั้ง ครั้งละ 10 ที วันละ 2-3 เวลาก็สามารถช่วยให้กล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานภายในมีความแข็งแรงมากพอที่จะกลั้นปัสสาวะไม่ให้เล็ดบ่อยได้มากขึ้นแล้วค่ะ
วิธีที่ 2 รักษาโดยการผ่าตัด
กรณีที่คุณแม่ผ่านการคลอดบุตรมาแล้วหลายคน คุณหมอจะรักษาด้วยการวิธีผ่าตัด โดยตัดเอาส่วนที่หย่อนคล้อยนั้นออกไปแล้วเย็บใหม่เพื่อให้เกิดความกระชับแข็งแรงยิ่งขึ้น ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า ‘การทำรีแพร์’ และอีกกรณีหนึ่งก็อาจเกิดจากสาเหตุที่คุณแม่เข้าสู่ช่วงวัยทอง เพราะผู้หญิงวัยทองมักพบปัญหาปัสสาวะเล็ดบ่อยครั้งอยู่แล้ว ตลอดจนสาเหตุหลักอันเนื่องมาจากการที่ร่างกายขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนจนทำให้เยื่อบุผนังช่องคลอดสูญเสียความยืดหยุ่น การรักษาก็สามารถทำได้ด้วยวิธีรีแพร์ได้เช่นเดียวกัน
3.ท้องผูกเป็นประจำหลังคลอด ควรแก้อย่างไรดี?
ฝึกพฤติกรรมการเข้าห้องน้ำทุกเช้าเพื่อให้ร่างกายเกิดความเคยชิน
โดยพยายามนั่งอยู่ในห้องน้ำอย่างผ่อนคลายสบายๆ เป็นเวลาประมาณ 15 นาที ไม่เร่งรีบหรือบีบบังคับฝืนร่างกายจนเกินไป ควรทำแบบนี้ให้ติดเป็นประจำทุกวัน เมื่อถึงเวลาตอนเช้าร่างกายก็จะรู้ตัวเองโดยอัตโนมัติและขับถ่ายได้ตามปกติ
กินอาหารที่ให้ไฟเบอร์สูงและดื่มน้ำเพียงพอ
คุณแม่ควรเน้นกินผักผลไม้ที่ให้ไฟเบอร์สูงพร้อมหมั่นดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพราะในเวลากลางคืนกากใยอาหารที่เรากินเข้าไปก็จะเกิดการรวมตัวกันในขณะนอนหลับ บวกกับน้ำที่เราดื่มเข้าไปก็จะทำหน้าที่กระตุ้นให้อุจจาระอ่อนตัวและร่วนขึ้นซึ่งง่ายต่อการขับเคลื่อนไปยังลำไส้ใหญ่และทำให้ขับถ่ายในตอนเช้าได้ดียิ่งขึ้น
ออกกำลังกายเพื่อกระตุ้นลำไส้เป็นประจำ
การออกกำลังกายไม่เพียงทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงแต่เพียงเท่านั้น แต่ประโยชน์ของมันยังมีผลดีต่อผู้ที่มักมีปัญหาท้องผูกอยู่บ่อยๆ อีกด้วย เนื่องจากการที่ร่างกายได้เคลื่อนไหวไปมาผนังลำไส้และผนังบนกล้ามเนื้อรอบบริเวณทวารหนักจะถูกกระตุ้นให้เกิดการยืดหยุ่นสูงขึ้น หลายคนหลังจากออกกำลังกายมาใหม่ก็จะเกิดอาการปวดท้องถ่ายได้ง่าย ยิ่งหากทำแบบนี้เป็นประจำร่วมกันกับการดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำอุณหภูมิธรรมดาเป็นประจำด้วยแล้ว คุณจะพบว่าระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นทันตาเลยทีเดียว
4.อาการริดสีดวงทวาร รักษาอย่างไรจึงจะหายไป
สาเหตุของการเกิดริดสีดวงทวาร
ก่อนอื่นคุณแม่ต้องทำความเข้าใจสาเหตุก่อนว่า อาการของริดสีดวงทวารนั้นเกิดได้จากเส้นเลือดดำที่อยู่บริเวณโดยรอบทวารหนักมีอาการโป่งพองขึ้นมา ยิ่งหากคุณแม่มีพฤติกรรมการขับถ่ายอันไม่เหมาะสมด้วยแล้วก็จะยิ่งส่งผลให้เป็นริดสีดวงทวารได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเบ่งภายในช่องท้องบ่อยครั้ง ปัญหาอุจจาระแข็ง ท้องผูก ด้วยสาเหตุดังกล่าวบวกกับการเบ่งอุจจาระเป็นเวลานานก็จะยิ่งส่งผลให้เกิดริดสีดวงทวารหนักได้ง่าย และยังมีอาการโป่งพองขนาดใหญ่จนรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นได้ด้วย
การรักษาริดสีดวงทวาร
เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเบื้องต้นเสียก่อนจะว่าเป็นการรักษาอย่างประคับประคองก็ว่าได้ โดยให้คุณแม่กินอาหารประเภทที่ให้ใยอาหารสูง เช่น ผักผลไม้และดื่มน้ำให้ได้มากๆ บวกกับการหมั่นฝึกอุปนิสัยให้ตื่นมาเข้าห้องน้ำทุกเช้าในเวลาเดียวกันทุกวัน เมื่อร่างกายเกิดความเคยชินถึงเวลาก็จะเกิดการกระตุ้นระบบขับถ่ายให้ทำงานดีขึ้นได้ค่ะ
กรณีที่คุณแม่บางท่านมีอาการรุนแรงมาก เบื้องต้นแพทย์จะจัดยาให้กินพร้อมกับยาเหน็บเพื่อช่วยให้ก้อนเนื้อเกิดการอ่อนตัวและนุ่มลง หากก้อนเนื้อมีขนาดใหญ่ก็จะก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด เลือดออกและที่สุดหากใช้การรักษามาทุกวิธีแล้วไม่ได้ผลก็จะต้องรักษาด้วยวิธีผ่าตัดซึ่งถือเป็นการรักษาให้หายขาดอย่างสิ้นเชิงและนับเป็นวิธีที่ดีที่สุด
การกินยารักษาริดสีดวงทวารในคุณแม่หลังคลอดที่ต้องให้นมบุตร
สำหรับยารักษาริดสีดวงทวารนั้น ส่วนมากมักเป็นยาที่มีการออกฤทธิ์เฉพาะจุด โดยเน้นใช้ในบริเวณทวารหนักเท่านั้นเพื่อกระตุ้นให้เส้นเลือดเกิดการคลายตัวและหดตัวลง แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น เพื่อความปลอดภัยต่อการให้นมลูกไปพร้อมกันคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมและไม่เป็นอันตรายต่อน้ำนมไปพร้อมกันด้วย
อีกทั้งเนื่องจากยาที่ใช้รักษานั้นมีด้วยกันหลายชนิด หากคุณแม่เลือกใช้ชนิดที่รักษาโดยการเหน็บทวารให้ออกฤทธิ์แค่เฉพาะจุดก็นับว่าเหมาะสมไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวงการแพทย์มีการพัฒนาให้ก้าวหน้าไปมาก จึงเกิดกระบวนการคิดค้นและผลิตตัวยาใหม่ๆ ออกมารักษาอาการผู้ป่วยได้อย่างตรงจุดและปลอดภัยมากขึ้น ยารักษาริดสีดวงทวารในคุณแม่หลังคลอดก็ด้วยเช่นเดียวกัน คุณแม่จึงไม่ต้องกังวลว่าเป็นริดสีดวงทวารแล้วจะไม่สามารรักษาให้ปลอดภัยต่อลูกน้อยไม่ได้
[alert-success]เพราะปัจจุบันจึงมีตัวยาชนิดครีมที่เอาไว้สำหรับทาอย่างตรงจุด แต่จะใช้เวลาในการรักษาประมาณ 3-6 สัปดาห์ และเพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างดีเยี่ยม จะดีมากหากคุณแม่พยายามปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเองใหม่ โดยหันมากินอาหารที่ให้กากใยอาหารสูงเพื่อป้องกันปัญหาท้องผูก ไม่ว่าจะเป็นการกินผักผลไม้ ดื่มน้ำวันละ 2-3 ลิตรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้กินแล้วย่อยยาก เช่น เนื้อวัวหรืออาหารประเภทแป้งอย่างพิซซ่า ตลอดจนอาหารรสจัดและไขมันจัดเพื่อไม่ให้มีผลต่อระบบย่อย โดยเฉพาะอาหารมันๆ บางครั้งกระเพาะอาหารก็ไม่สามารถย่อยได้ดีพอ[/alert-success]
ในขณะที่อาหารรสจัดนอกจากจะมีผลทำให้เกิดอาการแสบร้อนคั่งค้างภายในช่องท้องร่วมกับอาการท้องผูกอย่างทุกข์ทรมานแล้ว การบริโภคอาหารรสจัดยังไม่เป็นที่แนะนำให้ทานขณะให้นมลูกอีกด้วย เพราะอาจส่งผลให้ลูกน้อยมีอาการท้องเสียและปวดแสบร้อนท้องจนงอแงได้
อย่าลืมนะคะคุณแม่ หากต้องการแก้ปัญหาดังกล่าวได้อย่างตรงจุดและเป็นผลปลอดภัยต่อการให้นมลูกน้อยพร้อมกัน อีกทั้งยังทำให้สุขภาพคุณแม่แข็งแรง ใช้ชีวิตระหว่างวันได้อย่างมีความสุขไปพร้อมกับการเฝ้าเลี้ยงดูทารกน้อยได้อย่างไร้กังวล ก็ควรหมั่นฝึกพาตัวเองเข้านั่งในห้องน้ำทุกวันเป็นเวลาเดียวกัน บวกกับออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและทำตามคำแนะนำที่บอกไว้ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดทุกวัน เพียงเท่านี้ก็สามารถป้องกันและรักษาทั้งอาการริดสีดวงทวาร อาการท้องผูกและลดปัญหาปัสสาวะแล้วแสบคันได้มากขึ้นแล้วค่ะ