จากกฎของเมอร์ฟี สู่กฎของยีพรัม: เปลี่ยนมุมคิด พลิกชีวิตให้สดใสขึ้น

ชีวิตคือสนามทดสอบที่ไม่มีสคริปต์ ไม่มีปุ่มย้อนกลับ และไม่มีวันซ้อมใหญ่ และบางครั้ง… มันก็ดูเหมือนทุกอย่างจะผิดพลาดได้พร้อมกันราวกับนัดกันไว้ ถ้าคุณเคยรู้สึกแบบนั้น คุณไม่ได้อยู่คนเดียวครับ เพราะมี “กฎ” ที่อธิบายสิ่งนี้ไว้ชัดเจน—กฎของเมอร์ฟี (Murphy’s Law)

แต่เดี๋ยวก่อน… ถ้ามี “กฎแห่งความซวย” แล้วล่ะก็ มันก็ต้องมี “กฎแห่งความโชคดี” ด้วยใช่ไหม?

นั่นแหละครับ จุดเริ่มต้นของบทความวันนี้ — จากกฎของเมอร์ฟี สู่ กฎของยีพรัม (Yhprum’s Law) ที่อาจช่วยให้คุณเปลี่ยนวันแย่ ๆ ให้กลายเป็นโอกาสดี ๆ แบบไม่คาดคิด


กฎของเมอร์ฟี (Murphy’s Law) คืออะไร?

กฎของเมอร์ฟี เป็นแนวคิดที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อว่า “อะไรที่มันจะพังได้ มันจะพัง” (Anything that can go wrong, will go wrong) เป็นแนวคิดที่มองโลกในแง่ร้ายหน่อย ๆ บอกว่าถ้ามีโอกาสที่อะไรจะผิดพลาด มันจะผิดพลาดแน่นอน เช่น:

  • ถ้าคุณรีบไปประชุม คุณอาจจะเจอรถติด หรือลืมของสำคัญ
  • ถ้าคุณพกร่มไป ฝนอาจไม่ตก แต่ถ้าลืมร่ม ฝนดันตกหนักซะงั้น
  • หรือวันสำคัญที่คุณแต่งตัวสวย ๆ อาจจะดันทำกาแฟหกใส่เสื้อ

ที่มาของกฎนี้ มีรากฐานมาจากประวัติศาสตร์จริง ๆ ครับ กฎของเมอร์ฟีถูกตั้งชื่อตาม ร้อยเอกเอ็ดเวิร์ด เมอร์ฟี (Edward Murphy) วิศวกรของกองทัพอากาศสหรัฐ ในช่วงปลายทศวรรษ 1940s เรื่องมันเกิดขึ้นตอนที่ทีมของเขากำลังทดสอบเครื่องบินที่ฐานทัพ Edwards Air Force Base ในโครงการ MX981 ซึ่งเป็นการทดสอบความทนทานของมนุษย์ต่อแรง G (แรงโน้มถ่วง) ระหว่างการบินด้วยความเร็วสูง

ในการทดสอบครั้งหนึ่ง ทีมงานต้องติดตั้งเซ็นเซอร์เพื่อวัดแรง G แต่ปรากฏว่าเซ็นเซอร์ทุกตัวถูกติดตั้งผิดวิธี ทำให้ผลการทดสอบเสียหายไปหมด เมอร์ฟีเลยพูดประโยคประมาณว่า “ถ้ามันมีวิธีที่อะไรจะผิดพลาดได้ มันจะผิดพลาดแน่” คำพูดนี้ถูกพูดติดตลกในหมู่ทีมงาน และต่อมาก็ถูกเผยแพร่ออกไปโดย ดร.จอห์น พอล สแทปป์ (John Paul Stapp) หัวหน้าทีมทดสอบ ที่นำคำพูดนี้ไปพูดในงานแถลงข่าว

จากนั้น กฎของเมอร์ฟีก็กลายเป็นวลีที่โด่งดังไปทั่วโลก ถูกใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่ออธิบายความโชคร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมป๊อป มีการนำไปใช้ในภาพยนตร์ หนังสือ และการ์ตูนด้วยซ้ำ


ผลกระทบของกฎของเมอร์ฟี

ถึงแม้ว่ากฎของเมอร์ฟีจะเริ่มต้นจากวงการวิศวกรรม แต่แนวคิดนี้มันเข้าไปอยู่ในชีวิตประจำวันของเราได้อย่างง่ายดาย เพราะมันสะท้อนความรู้สึกที่ว่า ชีวิตมันมักจะมีอะไรมาขัดขวางเราอยู่เสมอ เช่น:

  • ถ้าคุณต้องพรีเซนต์งานสำคัญ ไฟล์อาจจะดันเปิดไม่ได้
  • หรือถ้าคุณรีบออกจากบ้าน รองเท้าที่คุณต้องการใส่อาจจะหายไปข้างนึง

ในแง่หนึ่ง กฎของเมอร์ฟีช่วยให้เราระวังตัวมากขึ้นในงานที่ต้องการความรอบคอบ เช่น วิศวกรอาจจะตรวจสอบงานหลายรอบเพื่อป้องกันข้อผิดพลาด แต่ในอีกแง่ มันก็ทำให้เรารู้สึกกังวลหรือมองโลกในแง่ร้ายเกินไป บางครั้งเราอาจจะกลายเป็นคนที่คาดหวังแต่สิ่งแย่ ๆ มากกว่าสิ่งดี ๆ


แล้วกฎของยีพรัม (Yhprum’s Law) ล่ะ?

เมื่อเรารู้จักกฎของเมอร์ฟีแล้ว ทีนี้มาถึงตัวเอกของบล็อกเราครับ กฎของยีพรัม ซึ่งเป็นแนวคิดที่กลับหัวกลับหางจากกฎของเมอร์ฟีแบบสุดขั้ว! กฎของยีพรัมบอกว่า “ทุกอย่างที่สามารถดีได้ มันจะดี” (Everything that can go right, will go right)

คำว่า “ยีพรัม” (Yhprum) นี่จริง ๆ คือ “เมอร์ฟี” (Murphy) ที่สะกดย้อนกลับ เป็นการเล่นคำที่บอกชัดเจนเลยว่านี่คือแนวคิดที่ตรงข้ามกันแบบ 180 องศา แทนที่จะมองว่าโลกนี้เต็มไปด้วยความโชคร้าย กฎของยีพรัมชวนให้เรามองว่า ชีวิตมันมีโอกาสที่จะดีได้เสมอ แม้ในวันที่อะไร ๆ ดูเหมือนจะพัง


ตัวอย่างจากชีวิตจริง

ลองนึกภาพตามนะครับ: คุณกำลังนั่งทำงานเอกสารสำคัญอยู่ แล้วจู่ ๆ แก้วกาแฟที่วางอยู่ข้าง ๆ ดันล้ม หกเลอะกระดาษเต็มไปหมด! ถ้าคิดตามกฎของเมอร์ฟี คุณอาจจะรู้สึกว่า “แย่แล้ว งานพังแน่!” แต่ถ้ามองในมุมของกฎของยีพรัม ลองเปลี่ยนมุมคิดดู—บางทีการที่กระดาษเลอะ อาจทำให้คุณต้องเขียนงานใหม่ แล้วงานใหม่ดันดีกว่าเดิม หรือรอยกาแฟที่เลอะอาจกลายเป็นไอเดียสร้างสรรค์ เช่น วาดรูปจากรอยนั้น กลายเป็นงานศิลปะชิ้นใหม่ไปเลย!

ผมเองก็เคยเจอประสบการณ์แบบนี้เหมือนกันครับ ตอนที่วางแผนจะไปเที่ยวกับเพื่อน แต่ฝนดันตกหนักจนต้องยกเลิก ทุกคนเสียดายมาก แต่สุดท้ายเราตัดสินใจจัดปาร์ตี้เล็ก ๆ ในบ้านแทน ผลคือ เราได้คุยกัน ได้หัวเราะกันเยอะมาก จนรู้สึกว่ามันเป็นวันที่ดีกว่าการไปเที่ยวข้างนอกซะอีก!


ทำไมกฎของยีพรัมถึงสำคัญ?

  1. ช่วยให้เราไม่จมกับความผิดหวัง
    ชีวิตมันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกครับ บางวันเราก็เจอเรื่องแย่ ๆ แต่ถ้าเราคิดแบบกฎของยีพรัม มันจะช่วยให้เราไม่จมอยู่กับความผิดหวังนานเกินไป แทนที่จะนั่งโทษตัวเองว่า “ทำไมต้องเป็นแบบนี้” เราจะเริ่มมองว่า “เดี๋ยวมันต้องมีอะไรดี ๆ ตามมาแน่”
  2. เปิดโอกาสให้เจอสิ่งใหม่ ๆ
    บางครั้งการที่แผนของเราพัง อาจนำไปสู่โอกาสที่เราไม่เคยคาดคิด เช่น ถ้าคุณสมัครงานแล้วไม่ผ่าน อาจทำให้คุณได้ลองเส้นทางใหม่ที่ไม่เคยคิดมาก่อน แล้วกลายเป็นว่างานนั้นเหมาะกับคุณมากกว่า
  3. ลดความเครียดในชีวิต
    การมองโลกในแง่ดีแบบนี้ช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ถ้าเราคาดหวังแต่สิ่งแย่ ๆ ตามกฎของเมอร์ฟี ชีวิตเราจะเต็มไปด้วยความกังวล แต่ถ้าเราคิดแบบยีพรัม เราจะรู้สึกว่า ถึงมันจะไม่เป็นไปตามแผน แต่สุดท้ายมันก็อาจจะดีได้

ลองนำไปใช้ในชีวิตประจำวัน

ครั้งหน้าที่คุณเจอเรื่องแย่ ๆ ลองหยุดแล้วถามตัวเองว่า “มันจะมีอะไรดี ๆ ซ่อนอยู่ในสถานการณ์นี้ไหม?” เช่น:

  • ถ้าคุณไปสายงานปาร์ตี้ อาจจะเจอเพื่อนใหม่ที่มาสายเหมือนกัน
  • ถ้าคุณทำของหาย อาจจะได้เจอของชิ้นใหม่ที่คุณชอบมากกว่า

สรุป: โลกอาจไม่เปลี่ยน แต่ “มุมมอง” ของเราทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้

  • Murphy’s Law เตือนให้เราเตรียมใจและวางแผนรับมือกับสิ่งผิดพลาด
  • Yhprum’s Law เตือนให้เราเปิดใจ และไม่พลาดมองเห็นโอกาสดีในความไม่สมบูรณ์แบบ

ทั้งสองแนวคิดนี้เหมือนเป็นสองด้านของเหรียญที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสมดุลมากขึ้นครับ ลองเปลี่ยนมุมมองดู แล้วคุณอาจจะพบว่า ชีวิตมันไม่ได้แย่ขนาดนั้น แถมบางครั้งมันยังดีเกินคาดอีกด้วย!

ชีวิตก็เหมือนภาพวาดสีน้ำ—มันไม่ได้คุมได้เป๊ะ แต่มันสวยได้ในแบบที่มันเป็น