ความตายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ทุกคนต้องเผชิญ เมื่อถึงวาระสุดท้าย หลายครั้งผู้ป่วยอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถสื่อสารหรือตัดสินใจได้ ทำให้ภาระการตัดสินใจเรื่องการรักษาพยาบาลตกอยู่กับแพทย์และญาติ ซึ่งอาจไม่ตรงกับความต้องการที่แท้จริงของผู้ป่วย หรือนำไปสู่ความขัดแย้งได้
เพื่อแก้ปัญหานี้ แนวคิดเรื่อง Living Will หรือ “หนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย” จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เอกสารนี้เปิดโอกาสให้เราทุกคนสามารถวางแผนและแสดงความต้องการเกี่ยวกับการดูแลรักษาตนเองล่วงหน้า ในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน
ที่มาและความสำคัญในสังคมไทย
แนวคิดเรื่อง Living Will มีจุดเริ่มต้นในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เพื่อรับรองสิทธิผู้ป่วยในการปฏิเสธกระบวนการทางการแพทย์ที่เพียงเพื่อยืดชีวิตออกไป สำหรับสังคมไทย ประเด็นนี้เป็นที่รับรู้และถกเถียงอย่างกว้างขวางจากกรณีอาพาธของท่านพุทธทาสภิกขุ แม้ท่านจะเคยแสดงเจตนาไม่ต้องการให้ช่วยชีวิตอย่างผิดธรรมชาติ แต่เมื่อท่านไม่สามารถสื่อสารได้ ก็ยังได้รับการรักษาด้วยเครื่องมือต่างๆ เพื่อยื้อชีวิตไว้อีก 40 กว่าวัน
เหตุการณ์นี้สะท้อนความแตกต่างในทัศนะเกี่ยวกับชีวิต ความตาย และการแพทย์สมัยใหม่ที่เน้นการรักษาทางกายเป็นหลัก และจุดประกายให้สังคมไทยหันมาให้ความสำคัญกับสิทธิผู้ป่วยในการแสดงเจตนาปฏิเสธการรักษาอย่างจริงจังมากขึ้น
Living Will ในกฎหมายไทย
สิทธิในการทำ Living Will ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการใน มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550 ซึ่งระบุว่า:
- บุคคลมีสิทธิทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้
- การดำเนินการตามหนังสือฯ ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในกฎกระทรวง
- ผู้ประกอบวิชาชีพฯ ที่ปฏิบัติตามเจตนาในหนังสือฯ จะไม่ถือเป็นความผิดและพ้นจากความรับผิดทั้งปวง
กฎหมายนี้มุ่งรับรองสิทธิผู้ป่วยที่จะเลือกตายอย่างสงบตามธรรมชาติ โดยไม่ถูกยื้อด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ แต่ไม่ใช่การุณยฆาต (Active Euthanasia) ซึ่งเป็นการเร่งให้ตายและยังผิดกฎหมายไทย นอกจากนี้ ยังมีการออก กฎกระทรวงฯ พ.ศ. 2553 เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ทำความเข้าใจ “หนังสือแสดงเจตนาฯ”
หนังสือแสดงเจตนาตามมาตรา 12 คือ เอกสารที่บุคคลทำขึ้นล่วงหน้าในขณะที่ยังมีสติสัมปชัญญะดี เพื่อบอกความต้องการที่จะปฏิเสธการรักษาที่ไม่มีประโยชน์ เป็นเพียงการยืดกระบวนการตายออกไป หรือขัดขวางการตายอย่างสงบตามธรรมชาติ เช่น การไม่ต้องการปั๊มหัวใจ ไม่ต้องการเจาะคอ หรือใส่เครื่องช่วยหายใจ เอกสารนี้เป็นการเคารพสิทธิพื้นฐานของผู้ป่วยในการตัดสินใจเกี่ยวกับชีวิตตนเอง


ประโยชน์ของการทำ Living Will
- เคารพเจตนาผู้ป่วย: ให้ผู้ป่วยได้จากไปอย่างสงบตามความต้องการ
- ลดความขัดแย้ง: ช่วยให้ญาติและผู้เกี่ยวข้องรับทราบเจตนา ลดปัญหาความเห็นไม่ตรงกัน
- เลี่ยงความทรมาน: ปฏิเสธการรักษาที่ไม่จำเป็นและอาจเพิ่มความทุกข์ทรมาน เช่น การปั๊มหัวใจ การเจาะคอ
- โอกาสในการบอกลา: หากไม่ต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ผู้ป่วยอาจมีโอกาสสื่อสารหรือบอกลาได้
- ลดภาระค่าใช้จ่าย: หลีกเลี่ยงค่ารักษาพยาบาลที่สูงจากการยื้อชีวิตโดยไม่จำเป็น
“พินัยกรรมชีวิต” กับ “หนังสือแสดงเจตนาฯ”
คำว่า “พินัยกรรมชีวิต” เป็นคำที่สังคมคุ้นเคยกว่า และแปลมาจากคำว่า “Living Will” แม้จะหมายถึงเรื่องเดียวกัน แต่ทางกฎหมายใช้คำว่า “หนังสือแสดงเจตนาฯ” เพื่อไม่ให้สับสนกับพินัยกรรมทางทรัพย์สินซึ่งมีผลหลังเสียชีวิตแล้ว อย่างไรก็ตาม คำว่า “พินัยกรรมชีวิต” อาจมีความหมายกว้างกว่าในแง่ที่กระตุ้นให้เกิดการพูดคุยเรื่องความตายในครอบครัว
คำแนะนำจากหมอ
นพ.ฐากูร กาญจโนภาศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ให้คำแนะนำว่า:
“Living Will คือแค่กระดาษหนึ่งแผ่น แต่สิ่งสำคัญกว่าคือ ‘บทสนทนา’ กับคนที่เรารัก ว่าเราต้องการจากไปแบบไหน”
หมอแนะนำให้เริ่มจากการพูดคุยกับครอบครัวอย่างเปิดใจ เพื่อให้ Living Will ไม่ใช่แค่เอกสาร แต่เป็นสิ่งที่ครอบครัวเข้าใจและเคารพ
ความแตกต่างจากการฆ่าตัวตายหรือการุณยฆาต
การทำ Living Will คือการ ปฏิเสธการยืดการตาย และไม่ใช่การเร่งให้ตาย เป็นการปล่อยให้กระบวนการตายเป็นไปตามธรรมชาติ โดยยังได้รับการดูแลแบบประคับประคองเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน ส่วนการฆ่าตัวตาย หรือการุณยฆาต (การกระทำโดยเจตนาให้ผู้ป่วยตายเร็วขึ้น) เป็นสิ่งที่แตกต่างและขัดต่อกฎหมายและศีลธรรม
Living Will ต่างจากการุณยฆาตอย่างไร?
ประเด็น | Living Will | การุณยฆาต |
---|---|---|
จุดประสงค์ | ไม่ยื้อชีวิตเมื่อถึงวาระสุดท้าย | เร่งให้เสียชีวิตเร็วขึ้น |
สถานะทางกฎหมายไทย | ถูกกฎหมาย (มาตรา 12) | ผิดกฎหมาย |
เจตนา | เคารพธรรมชาติของชีวิต | ยุติความเจ็บปวดด้วยการกระทำให้ตาย |
การดูแลแบบประคับประคอง (Palliative Care)
ผู้ที่ทำ Living Will จะไม่ถูกทอดทิ้ง แต่จะยังได้รับการดูแลแบบประคับประคองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมุ่งเน้นการบรรเทาอาการเจ็บปวด ความไม่สุขสบาย และความทุกข์ทางจิตใจของผู้ป่วยและครอบครัว แม้ตัวโรคจะไม่สามารถรักษาให้หายได้ก็ตาม
การจัดทำหนังสือแสดงเจตนาฯ
- ปรึกษา: ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับโรค แนวทางการรักษา และขอคำแนะนำ รวมถึงพูดคุยกับบุคคลใกล้ชิดหรือญาติ
- รูปแบบ: สามารถเขียนหรือพิมพ์ด้วยตนเอง หรือให้ผู้อื่นช่วยเขียนหรือพิมพ์แทนได้หากไม่สามารถทำเอง (ต้องระบุชื่อผู้เขียน/ผู้พิมพ์) อาจแสดงเจตนาด้วยวาจาต่อหน้าแพทย์ พยาบาล หรือญาติ แล้วให้ผู้อื่นบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
- อายุ: เอกสารอ้างอิงระบุว่าควรมีอายุครบ 18 ปี (ตามแนวทางแพทยสภา) แต่ตามกฎหมายแพ่งฯ ต้องบรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปี หรือสมรสเมื่ออายุ 17 ปี) กรณีผู้ป่วยเด็ก ให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองตัดสินใจแทน โดยคำนึงถึงความต้องการของเด็กเท่าที่ทำได้
- พยาน: แม้กฎหมายไม่บังคับ แต่ควรมีพยาน (เช่น ญาติ หรือแพทย์/พยาบาล) เพื่อยืนยันความถูกต้องและสติสัมปชัญญะของผู้ทำ ณ ขณะนั้น
- การเก็บรักษา: ผู้ทำควรเก็บรักษาเอกสารไว้เอง และแจ้งบุคคลใกล้ชิดหรือแพทย์ให้ทราบว่าเก็บไว้ที่ใด หรือมอบสำเนาให้โรงพยาบาล
- การเปลี่ยนแปลง/ยกเลิก: สามารถทำได้ตลอดเวลาตราบเท่าที่ยังมีสติสัมปชัญญะ โดยทำเอกสารฉบับใหม่ (ยึดฉบับล่าสุด) แก้ไขฉบับเดิม หรือทำลายฉบับจริงทิ้ง และควรแจ้งผู้เกี่ยวข้องให้ทราบ
ประเด็นและคำถามที่พบบ่อย
- ญาติไม่เห็นด้วย: แพทย์ควรเคารพเจตนาในหนังสือฯ เป็นหลัก แต่ควรหารือทำความเข้าใจกับญาติเกี่ยวกับภาวะผู้ป่วยและเนื้อหาในหนังสือฯ เพื่อหาทางออกร่วมกัน
- ลูกหลานตัดสินใจแทน: หากผู้ป่วยยังมีสติสัมปชัญญะ ลูกหลานไม่สามารถตัดสินใจแทนได้ ควรพูดคุยสอบถามเจตนาโดยตรง
- ทราบเรื่องหลังเริ่มรักษา: หากแพทย์เริ่มรักษาไปแล้ว แต่มาทราบทีหลังว่ามี Living Will ก็สามารถปรับเปลี่ยนหรือยุติการรักษาตามที่ระบุในหนังสือฯ ได้ โดยได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
- กรณีอุบัติเหตุ: แพทย์จะช่วยชีวิตอย่างเต็มที่ เพราะเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจรักษาให้รอดได้ ต่างจากวาระสุดท้ายของโรคที่รักษาไม่หาย
- ความคุ้มครองของแพทย์: แพทย์ พยาบาล ที่ปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตนาโดยสุจริตและตามมาตรฐานวิชาชีพ จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย ไม่มีความผิดทั้งทางแพ่งและอาญา
- มาตรฐานการรักษา: การมี Living Will ไม่ทำให้แพทย์ลดความระมัดระวังลง เพราะมีมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณกำกับ และหนังสือฯ มีผลเฉพาะใน “วาระสุดท้าย” เท่านั้น
- ภาระของแพทย์: การมี Living Will ที่ชัดเจนอาจช่วยลดภาระของแพทย์ในการตัดสินใจ และส่งเสริมความเข้าใจระหว่างทีมรักษา ผู้ป่วย และญาติ
บทสรุป
Living Will ไม่ใช่เพียงเอกสารทางกฎหมาย แต่เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้เราได้ทบทวนชีวิต สิ่งที่ค้างคาใจ ความสัมพันธ์ และวางแผนการดูแลตนเองในวาระสุดท้าย กระบวนการพูดคุย ทำความเข้าใจกับครอบครัวและแพทย์ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าตัวเอกสาร การทำ Living Will ช่วยให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างมีศักดิ์ศรีตามความประสงค์ และส่งเสริมให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของ “การตายดี” ซึ่งควรเป็นเป้าหมายหนึ่งของการแพทย์
ข้อมูลอ้างอิงจาก:
บทความนี้เรียบเรียงข้อมูลจากเอกสาร “ความต้องการครั้งสุดท้ายของชีวิต (Living Will)” โดย ดวงพร เพชรคง กลุ่มงานกฎหมาย 2 สำนักกฎหมาย สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอ้างอิงแหล่งข้อมูลดังต่อไปนี้:
- โครงการเผชิญความตายอย่างสงบ – เครือข่ายพุทธิกา: จดหมายข่าวเรื่อง “พินัยกรรมชีวิตสู่การจากไปด้วยใจสงบ” (เม.ย.-มิ.ย. 2552) สืบค้นจาก:
http://budnet.org/peacefuldeath/node/163
- สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา: สรุปประเด็นสัมมนาเรื่อง “เจตนารมณ์การขอใช้สิทธิการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต : ผลกระทบต่อผู้ป่วยและแพทย์” (27 ก.ค. 2554) สืบค้นจาก:
- นพ.อำพล จินดาวัฒนะ: บทความ “ปฏิเสธการรักษากับการดูแลในวาระสุดท้ายของชีวิต (Living Will & Palliative Care)” (พ.ย. 2552) สืบค้นจาก:
- พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2550
- กฎกระทรวง กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาฯ พ.ศ. 2553