เคยไหมที่รู้สึกว่าการเรียนรู้เรื่องใหม่ๆ ช่างยากเย็นเหลือเกิน? ไม่ว่าจะเป็นทักษะใหม่สำหรับการทำงาน ภาษาต่างประเทศ หรือแม้แต่หัวข้อที่ซับซ้อนแค่ไหนก็ตาม บางครั้งเราก็ติดอยู่ในวังวนของการอ่าน ท่องจำ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้
ข่าวดีก็คือ การเรียนรู้ให้เร็วและมีประสิทธิภาพนั้นเป็นทักษะที่ฝึกฝนได้ครับ! และวันนี้ผมมีเคล็ดลับเด็ดๆ ในรูปแบบของ “คำถามกระตุ้นความคิด” หรือ “Prompts” ที่จะช่วยให้คุณเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งและรวดเร็วยิ่งขึ้นถึง 10 เท่า! เคล็ดลับเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับนักเรียนเท่านั้น แต่ทุกคนที่อยากพัฒนาตัวเองให้เรียนรู้ได้ดีขึ้นสามารถนำไปใช้ได้ครับ
มาดูกันว่า 14 วิธีคิดเหล่านี้มีอะไรบ้าง พร้อมตัวอย่างจริงในบางข้อที่คุณอาจคาดไม่ถึง!
1. อธิบายแบบให้เด็ก 5 ขวบฟัง (Explain like I’m 5) นี่คือวิธีทดสอบความเข้าใจที่ดีที่สุด! ลองพยายามสรุปเรื่องที่คุณกำลังเรียนรู้ (เช่น Blockchain, การทำงานของเครื่องยนต์) ด้วยภาษาที่ง่ายที่สุด เหมือนกำลังอธิบายให้เด็กประถมฟัง ถ้าคุณทำได้ แสดงว่าคุณเข้าใจแก่นแท้ของมันจริงๆ
- ตัวอย่างจริง: ลองอธิบายว่า “ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้า” หรือ “อินเทอร์เน็ตทำงานยังไง” ให้หลานตัวเล็กๆ ฟังดูสิครับ ถ้าเขาพยักหน้าเข้าใจ แสดงว่าคุณยอดเยี่ยมมาก!
2. สร้างภาพในหัว (Visualize the process) ลองหลับตาแล้วสร้างภาพขั้นตอนการทำงานของสิ่งที่คุณกำลังเรียนรู้ขึ้นมาในหัว หรือจะวาดเป็นแผนผังง่ายๆ ก็ได้ การสร้างภาพช่วยให้สมองจัดระเบียบข้อมูลได้ดีขึ้น
- ตัวอย่างจริง: ถ้ากำลังเรียนรู้วงจรการทำงานของระบบย่อยอาหาร ลองจินตนาการภาพอาหารเดินทางตั้งแต่ปากลงไปจนถึงปลายทาง หรือถ้าเรียนรู้ขั้นตอนการเขียนโปรแกรม ลองวาด Flowchart การทำงานของโค้ดง่ายๆ ครับ
3. แบ่งเป็นส่วนย่อย (Break it into chunks) เรื่องที่ซับซ้อนมากๆ มักจะประกอบด้วยส่วนเล็กๆ หลายส่วน ลองแบ่งเรื่องใหญ่ๆ ออกเป็น 3-5 ส่วนหลักๆ แล้วทำความเข้าใจไปทีละส่วน จะช่วยให้ไม่รู้สึกท้อและจัดการได้ง่ายขึ้น
4. หารูปแบบ (Find the patterns) ในข้อมูลต่างๆ มักจะมีรูปแบบ สูตร หรือกฎซ่อนอยู่ ลองสังเกตและดึงมันออกมา คุณจะพบว่าการจดจำหรือทำความเข้าใจโดยใช้รูปแบบง่ายกว่าการจำข้อมูลดิบๆ เยอะเลย
5. ใช้การเปรียบเทียบ (Use analogies) เปรียบเทียบเรื่องใหม่ที่คุณกำลังเรียนรู้กับสิ่งที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว สมองจะเชื่อมโยงข้อมูลได้เร็วขึ้นมาก
- ตัวอย่างจริง: การอธิบายว่า “อินเทอร์เน็ตก็เหมือนกับถนนหลวงขนาดใหญ่ที่เชื่อมเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน” หรือ “ฮาร์ดดิสก์ในคอมพิวเตอร์ก็เหมือนห้องสมุดสำหรับเก็บข้อมูล” ช่วยให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้นเยอะ
6. หักล้างความเชื่อผิดๆ (Break myths) หลายเรื่องที่เราเรียนรู้มักมีความเข้าใจผิดๆ หรือตำนานเล่าขานที่ไม่ถูกต้อง ลองค้นหาว่าความเชื่อผิดๆ 3 อย่างที่พบบ่อยเกี่ยวกับเรื่องนี้คืออะไร และความจริงคืออะไร การได้รู้ความจริงจะช่วยให้เข้าใจได้ถูกต้องแม่นยำ
7. ตั้งคำถามท้าทาย (Challenge it) อะไรคือความเข้าใจผิดหรือข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่คนมักทำเกี่ยวกับเรื่องนี้? และเราจะหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านั้นได้อย่างไร? การรู้ข้อผิดพลาดล่วงหน้าช่วยให้เราเตรียมตัวได้
8. เชื่อมโยงกับชีวิตจริง (Relate to real life) ลองคิดดูว่าเรื่องที่คุณกำลังเรียนรู้นี้เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวันของคุณหรือคนรอบตัวได้อย่างไรบ้าง เมื่อเห็นประโยชน์หรือการนำไปใช้จริง สมองจะให้ความสำคัญกับการเรียนรู้เรื่องนั้นมากขึ้น
- ตัวอย่างจริง: เรียนเรื่องร้อยละและทศนิยม? ลองเอาไปคำนวณส่วนลดเวลาช้อปปิ้งสินค้าดูสิครับ หรือเรียนเรื่องแรง? ลองสังเกตการทำงานของคานงัดเวลาใช้กรรไกรตัดกระดาษ หรือการยกของหนักดู
9. สอนคนอื่น (Teach it back) ถ้าต้องสอนเรื่องนี้ให้คนที่ไม่รู้อะไรเลย คุณจะสอนอย่างไร? การเตรียมสอนจะบังคับให้คุณต้องจัดระเบียบความคิด ทำความเข้าใจเนื้อหาอย่างลึกซึ้ง และหาวิธีอธิบายให้เข้าใจง่าย นี่คือวิธีเรียนรู้ที่ทรงพลังมากๆ
10. ถาม “ทำไม” ให้ลึกซึ้ง (Ask the critical ‘why’) อย่าแค่รู้ว่ามันทำงานอย่างไร แต่ต้องถามว่า “ทำไม” มันถึงทำงานแบบนั้น? ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ? และมันมีผลกระทบหรือความเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องอื่นๆ ในสาขานี้บ้าง? การถาม “ทำไม” ช่วยให้เข้าใจในระดับที่ลึกขึ้น
11. จำลองหรือฝึกฝน (Simulate or practice) ทฤษฎีก็ส่วนทฤษฎี แต่การลงมือทำจริงคือสิ่งสำคัญที่สุด ลองหาแบบฝึกหัด สถานการณ์จำลอง หรือลองทำอะไรบางอย่างที่ได้ใช้ความรู้ที่คุณเพิ่งเรียนมาจริงๆ
- ตัวอย่างจริง: เรียนทำอาหารเมนูใหม่? อย่าแค่ดูวิดีโอ ลองเข้าครัวทำตามเลย! เรียนภาษาใหม่? ลองบทบาทสมมุติว่าคุยกับคนอื่นดูสิครับ หรือถ้าเรียนเรื่องการลงทุน ลองใช้โปรแกรมจำลองการลงทุนดูก่อน
12. เปลี่ยนเป็นเรื่องเล่า (Turn it into a story) สมองของมนุษย์ชอบเรื่องราว ลองเปลี่ยนข้อมูลที่คุณกำลังเรียนรู้ให้กลายเป็นเรื่องเล่าสั้นๆ หรือสถานการณ์ที่มีตัวละคร มีเหตุการณ์ การเล่าเรื่องจะช่วยให้จดจำและเข้าใจได้ง่ายขึ้น
- ตัวอย่างจริง: เรียนประวัติศาสตร์การปฏิวัติ? ลองเขียนเรื่องสั้นสมมุติว่าคุณเป็นตัวละครหนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นดู หรือเรียนรู้เรื่องระบบเศรษฐกิจ? ลองเขียนเรื่องราวของคนสองคนที่แลกเปลี่ยนสินค้ากันตั้งแต่สมัยโบราณ
13. จัดลำดับความสำคัญในการเรียนรู้ (Prioritize Learning) ในเรื่องใหม่ๆ มักจะมีแนวคิดหรือส่วนประกอบสำคัญอยู่ไม่กี่อย่าง ลองระบุให้ได้ว่า 2-3 แนวคิดหลักๆ ที่สำคัญที่สุดที่คุณต้องเข้าใจก่อนคืออะไร การโฟกัสที่แก่นจะช่วยประหยัดเวลา
14. หาช่องว่างความรู้ (Find the gaps) อะไรคือแง่มุมของเรื่องนี้ที่คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามไป? อะไรคือสิ่งที่คนมักจะพลาดหรือไม่ให้ความสำคัญ แต่จริงๆ แล้วสำคัญต่อการทำความเข้าใจภาพรวม? การเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้จะทำให้ความเข้าใจของคุณสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
เห็นไหมครับว่าการเรียนรู้ให้เร็วขึ้นไม่ใช่เรื่องของการอัดข้อมูลเข้าสมองให้มากๆ อย่างเดียว แต่คือการใช้เทคนิคต่างๆ เพื่อช่วยให้สมองเราประมวลผล จัดเก็บ และเรียกใช้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ครั้งต่อไปที่คุณต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ลองหยิบวิธีคิดเหล่านี้ไปใช้ดูนะครับ เริ่มจากข้อที่คุณรู้สึกว่านำไปใช้ได้ง่ายที่สุด แล้วค่อยๆ เพิ่มข้ออื่นๆ เข้าไป คุณจะทึ่งในความสามารถในการเรียนรู้ของตัวเองอย่างแน่นอนครับ!
ขอให้สนุกกับการเรียนรู้ครับ!