เราทุกคนเคยได้ยินสำนวนที่ว่า “คุณคือสิ่งที่คุณกิน (You are what you eat)” แต่ ดร.วิลเลียม ลี (Doctor William Li) แพทย์และนักวิจัยที่มีชื่อเสียง ได้นำความคิดนี้ไปไกลกว่านั้น ตามที่ดร.ลีกล่าวว่า อาหารที่เรากินสามารถทำหน้าที่เป็นยาเคมีบำบัดหรือยารักษาโรคให้แก่ร่างกายของเราได้ถึงสามมื้อต่อวัน
งานวิจัยของดร.ลีนำไปสู่การได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) มากกว่า 40 ผลิตภัณฑ์ในการรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด การหายของบาดแผล และสายตาเสื่อม
เขาเป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทม์ส “Eat to Beat Disease” และหนังสือล่าสุด “Eat to Beat Diet” ผ่านผลงานวิจัยและการเขียนหนังสือ ดร.ลีได้แบ่งปันวิธีการที่อาหารสามารถรักษาร่างกายของเราและป้องกันโรคร้ายแรงเช่นมะเร็งได้อย่างน่าอัศจรรย์
สถิติที่น่าตกใจจากดร.ลีคือ การศึกษาจากการชันสูตรศพพบว่า เมื่ออายุ 70 ปี เกือบ 100% ของเราจะมีมะเร็งขนาดจิ๋วเล็กๆ เติบโตอยู่ในร่างกาย โดยมักพบในบริเวณเต้านม ต่อมลูกหมาก และต่อมไทรอยด์ แม้อาจจะดูน่ากลัว แต่ข่าวดีก็คือ การเลือกรับประทานอาหารอย่างเรียบง่ายสามารถช่วยป้องกันไม่ให้มะเร็งเหล่านี้ลุกลามต่อไปได้
ข้อมูลเพิ่มเติม
ดร.วิลเลียม ลี เป็นแพทย์และนักวิจัยที่มีชื่อเสียงระดับโลก จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ดำรงตำแหน่งประธานและเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งมูลนิธิเอนจิโอเจนนีซิส งานวิจัยของเขานำไปสู่การได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (เอฟดีเอ) มากกว่า 40 ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์และอุปกรณ์สำหรับรักษาโรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด การหายของบาดแผล และสายตาเสื่อม
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับหนึ่งของนิวยอร์กไทม์ส “Eat To Beat Disease: The New Science of How Your Body Can Heal Itself” และล่าสุดได้เขียนหนังสือชื่อ “Eat To Beat Diet: Burn Fat, Heal Your Metabolism, and Live Longer”
ดร.ลีได้ยกย่องผลไม้ 5 ชนิดที่มีคุณสมบัติต้านมะเร็งดังนี้:
- มะเขือเทศ (Tomato) – การศึกษาพบว่าการรับประทานมะเขือเทศปรุงสุกสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง สามารถลดความเสี่ยงต่อมะเร็งต่อมลูกหมากได้ถึง 50% หนทางสำคัญคือการนำมะเขือเทศไปผ่านความร้อนเพื่อช่วยให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนที่มีประโยชน์ได้ดีขึ้น
- ลูกแพร์ (Pears) – กรดคลอโรเจนิกในแพร์ช่วยกระตุ้นการเผาผลาญ เผาผลาญไขมันส่วนเกิน และตัดการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงมะเร็ง นอกจากนี้ ใยอาหารในแพร์ยังอาจลดความเสี่ยงต่อการลุกลามของมะเร็งได้ถึง 30%
- กีวี่ (Kiwi) – การรับประทานกีวี่เพียงวันละ 1-3 ผล สามารถช่วยกำจัดความเสียหายของดีเอ็นเอ ซ่อมแซมดีเอ็นเอที่เสียหาย และเพิ่มจำนวนแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในลำไส้ เช่น แลคโตบาซิลลัส
- เบอร์รี่ (Berries) – ผลไม้ที่มีสีเข้มเช่น บลูเบอร์รี่และสตรอว์เบอร์รี่ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยต้านการเจริญเติบโตของฮอร์โมนเพศชายและเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง น่าแปลกใจที่สตรอว์เบอร์รี่ไม่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น แม้ว่าจะมีรสหวานก็ตาม
- น้ำทับทิม (Pomegranate juice) – นำมาเสริมสร้างแบคทีเรียที่ดีสำหรับลำไส้ เช่น แอคเคอร์แมนเซีย (Akkermansia) ซึ่งเชื่อมโยงกับการตอบสนองภูมิคุ้มกันที่ดีต่อมะเร็ง
นอกจากผลไม้ 5 ชนิดนี้แล้ว ดร.ลี ยังแนะนำให้มีรูปแบบการรับประทานอาหารที่เน้นผัก ผลไม้สด และอาหารจากพืชทั้งหมด ควบคู่ไปกับการจำกัดการบริโภคเนื้อแดงและอาหารจำพวกอัลตราโปรเซสส์ (Processed Foods) อย่างที่เขากล่าวว่า “ไม่มีอาหารใดเป็นซูเปอร์ฟู้ด แต่ความหลากหลายของผักและผลไม้ที่เรารับประทานนั่นแหละที่จะเสริมสร้างภูมิคุ้มกันและสุขภาพร่างกายของเราให้แข็งแรง”
งานของดร.ลีเป็นการเตือนใจที่สำคัญว่า บางครั้งยาที่มีพลังที่สุดอาจงอกเงยขึ้นมาจากสวนผักสวนครัวของเราหรือวางอยู่บนจานอาหาร ด้วยการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการรับประทานอาหารเล็กน้อย เราสามารถเติมเชื้อเพลิงให้ร่างกายของเราสามารถป้องกัน ต่อสู้ และเอาชนะโรคร้ายอย่างมะเร็งได้
references