เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) เพื่อคนรักสุขภาพและรักษ์โลก

เมื่อโลกเข้าสู่ยุคอาหารกำลังขาดแคลน ทำให้ผู้ผลิตส่วนใหญ่เริ่มคิดหาวิธีการทำให้อาหารเพียงพอต่อประชากรโลก พร้อมลดขั้นตอนการผลิตอาหารที่เป็นตัวทำลายสภาพแวดล้อมตั้งแต่ขั้นตอนการเลี้ยงดู การผลิต ไปจนถึงขั้นตอนการขนส่ง จนกลายมาเป็นกระแสอาหารรักษ์โลกอย่าง Plant based meat

ตัวช่วยอาหารทดแทนเนื้อสัตว์ที่ให้สารอาหารครบถ้วนและในขณะเดียวกัน ยังได้รสชาติเนื้อที่อร่อยเหมือนกับเนื้อสัตว์จริงๆ ที่เรารับประทานกันอยู่อีกด้วย

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) คือ อะไร

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) คือ พืชที่ถูกนำมาทำให้กลายเป็นเนื้อสัตว์ที่รับประทานได้จริง ซึ่งให้กลิ่น รสชาติ และรูปลักษณ์ที่เสมือนจริงทั้งหมด ซึ่งเป็นการนำเอาองค์ประกอบของสารต่างๆ และฮีโมโกลบินที่พบได้ทั้งในพืชและเลือดของสัตว์

โดยจะมีเหล็กเป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบิน พร้อมไปด้วยโปรตีนจากธัญพืช, โปรตีนจากพืชต่าง และโปรตีนจากน้ำมันสกัดธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมของเซลลูโลส, สารสกัดจากยีสต์, เกลือ, กลีเซอรีนผัก, กรดน้ำส้ม และอีกหลากหลายสารสกัดที่สามารถทดแทนสารอาหารต่างๆ ภายในเนื้อสัตว์ได้อย่างครบถ้วน พร้อมการทำออกมาให้เหมือนกับเนื้อสัตว์มากที่สุด

นกระทั่งกลายเป็น Plant based meat ที่นำมาประกอบอาหารได้เหมือนกับเนื้อสัตว์ทุกประการ 

ที่สำคัญคือ ไม่ได้ทำเพียงแค่เสมือนเนื้อหมูและเนื้อวัวเท่านั้น แต่กำลังพัฒนาสูตรให้กลายมาเป็นเนื้อปลาที่สามารถให้สารอาหารของปลาทะเลอย่างครบถ้วนด้วยเช่นกัน

แม้แต่เนื้อเบค่อนและเนื้อสเต็กก็สารมารถทำออกมาให้มีรสชาติอร่อยไม่แพ้อาหารตัวจริงจริงเลยแม้แต่น้อย สำหรับส่วนประกอบของ Plant based meat จะทำมาจากพืชมากถึง 95% และมีส่วนผสมอื่นที่ไม่ใช่พืชประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์

ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเนื้อสัตว์แบบเสมือนจริงที่ไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์ชนิดใดๆ ทั้งสิ้น จึงกลายมาเป็นอาหารยุคใหม่ที่กำลังถูกพัฒนาให้กลายมาเป็นอาหารหลักของคนทั้งโลกในอนาคต 

ประโยชน์ของ เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) เทียบเท่าเนื้อสัตว์จริงหรือไม่

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) สามารถเข้ามาแทนที่ผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ได้ แต่ยังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเพื่อทำให้มีความเหมือนจริงจนยากที่จะแยกแยะได้

มีคาดการณ์ว่าเมื่อใดที่ทำออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์เต็มแล้ว เนื้อประเภทนี้จะประสบความสำเร็จอย่างมากในวงการอาหารแห่งอนาคต ถ้าเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่สามารถทำออกมาได้ดี คุณจะสัมผัสได้ถึงเนื้อสัตว์รสชาติดีที่แทบแยกกันไม่ออก 

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ร้านอาหารบางแห่งเริ่มนำเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) ไปใช้แล้วกลายมาเป็นอาหารแห่งอนาคตที่ผู้รับประทานแทบไม่รู้ว่านั่นคือเนื้อจากพืช

หนึ่งในการทดลองสำหรับแบรนด์ใหญ่ที่ต้องการจะลงทุนไปกับ Plant based food คือ การนำมาทำเป็นเบอร์เกอร์เนื้อที่เมื่อผู้สั่งมารับประทานกลับไม่รู้เลยว่าเนื้อที่ทานอยู่ไม่ใช่เนื้อวัวจริงแต่เป็นเนื้อจากพืชทั้งหมด

ดังนั้นลองมาดูว่าประโยชน์ของเนื้อชนิดนี้ที่นอกเหนือจากความเหมือนของทั้งรูป รส และกลิ่น จะเทียบกับเนื้อสัตว์จริงได้หรือไม่

1.ให้สารอาหารครบถ้วน

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) มีสารอาหารที่ค่อนข้างครบถ้วนและมีความใกล้เคียงกับเนื้อสัตว์จริง โดยมีทั้งโปรตีนและไขมันจากน้ำมันสกัดธรรมชาติ มีเซลลูโลส, โซเดียม และสารอาหารต่างๆ รวมไปถึงฮีโมโกลบินที่มีความเหมือนกับเนื้อสัตว์ทั้งหมด

เป็นการประกอบกันขึ้นมาจากพืชถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ในส่วนที่เหลือจะเป็นส่วนประกอบจากธรรมชาติ จึงทำให้มีสารอาหารที่เทียบเคียงกับเนื้อสัตว์และเป็นสารอาหารที่สามารถพบได้ทั้งในผลิตภัณฑ์นม ไข่ และธัญพืช จึงถือว่าเป็นเนื้อ ที่ให้ประโยชน์ต่อการรับประทานของทั้งผู้ที่มีสุขภาพปกติและผู้ที่มีปัญหาสุขภาพหรือเป็นโรคต่างๆ ได้อย่างดีเยี่ยม

2.รักษาสุขภาพ

ข้อมูลของเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) ที่ถูกยกขึ้นมาเป็นจุดเด่นในการนำเสนอเนื้อชนิดนี้ต่อตลาดอาหารโลก คือ การเป็นเนื้อที่สามารถรับประทานได้อย่างปลอดภัย

เพราะให้สารอาหารที่ครบถ้วนและมีความคล้ายคลึงกับเนื้อสัตว์มากที่สุด แต่ที่ให้ดีกว่าการรับประทานเนื้อสัตว์จริง คือ คอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอร์ไรด์ต่ำ ในขณะเดียวกันสารอาหารกลับมีให้ครบถ้วน

เมื่อรับประทานแล้วจึงไม่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพหรือโรคภัยใดๆ ทำให้ผู้ที่ติดการรับประทานเนื้อสัตว์สามารถรับประทานเนื้อวัว, เนื้อหมู, ไส้กรอก, เนื้อบด, เบคอน หรือแม้แต่เนื้อสเต็กได้อย่างไม่ต้องกังวล เพราะเนื้อ Plant based meat มีทั้งรูปลักษณ์และรสชาติ พร้อมไปด้วยเนื้อสัมผัสที่เหมือนกับเนื้อสัตว์จริงทั้งหมด 

3.รักษาสภาพแวดล้อม

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) ที่ทำมาจากพืชและส่วนประกอบของสารสกัดจากธรรมชาติ จะไม่ส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดล้อม เพราะเมื่อไม่มีการปศุสัตว์หรือการเลี้ยงสัตว์

รวมไปถึงขั้นตอนการผลิตที่รบกวนต่อธรรมชาติ พร้อมถูกปรับเปลี่ยนให้กลายมาเป็นพื้นที่ของการทำเกษตรอินทรีย์และเกษตรทั่วไปที่มากขึ้น ก็จะยิ่งช่วยทำให้สภาพแวดล้อมกลับคืนมาสู่ความอุดมสมบูรณ์อีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว

แม้ว่าบางแบรนด์ผู้ผลิตอาจจะมีการผลิตเนื้อ Plant based meat ที่มีพืชเป็นส่วนผสมเพียงแค่ 47% หรืออาจจะสูงถึง 99 เปอร์เซ็นต์ 

แต่ก็เชื่อว่าเปอร์เซ็นต์เหล่านี้จะเป็นตัวบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะทำให้สภาพแวดล้อมไม่ถูกทำลายมากจนเกินไป เนื่องมาจากการผลิตเนื้อจากพืชจะให้อัตราของการสิ้นเปลืองทรัพยากรและพลังงานที่น้อยกว่าเนื้อสัตว์ปกติเป็นอย่างมาก

ทั้งยังช่วยลดปัญหาเรื่องโลกร้อนเพราะปริมาณของก๊าซเรือนกระจกที่มาจากการผลิตอาหาร ด้วยส่วนผสมของเนื้อสัตว์ที่ลดน้อยลงถึง 58 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ดังนั้นจึงถือว่าเป็นเนื้อทางเลือกที่จะทำให้ผู้คนอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้ดีมากขึ้น

4.ทำอาหารอร่อย

หนึ่งในความโดดเด่นที่ทำให้เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) ได้รับความสนใจจากธุรกิจอาหารทั่วโลก คือ การถูกผลิตให้มาเสมือนกับเนื้อสัตว์จริงจนผู้ที่รับประทานเองก็ไม่สามารถแยกแยะออกได้

จึงทำให้นำไปทำอาหารได้อย่างหลากหลาย ไม่จำกัดเพียงแค่เมนู Burger หรือเนื้อบดเท่านั้น แต่ยังสามารถรับประทานเป็นแบบเนื้อแปรรูปอย่างเนื้อแฮม, เบคอน และไส้กรอกได้อีกด้วย พร้อมการปรุงแต่งรสชาติอาหารต่างๆ และเป็นส่วนผสมของอาหารสาย Fast Food ที่ให้รสชาติอร่อยเหมือนเดิมแบบไม่มีผิดเพี้ยน

5.รับประทานได้ดีทุกวัย

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) นั้นสามารถรับประทานได้ทุกเพศทุกวัยเพราะเหมือนกับเนื้อสัตว์ปกติ ให้คุณค่าทางสารอาหารที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในวัยเด็กและวัยรุ่นอาจจะต้องเสริมเป็นนม รวมไปถึงผักและผลไม้

เพื่อทำให้ได้สารอาหารที่มีความครบครันมากขึ้น สำหรับในวัยเรียนและวัยรุ่นนั้นถ้ารับประทานเนื้อชนิดนี้จะยิ่งช่วยทำให้ร่างกายเจริญเติบโตได้เป็นอย่างดี ให้โปรตีนแบบครบถ้วน

และที่สำคัญคือไม่ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องโรคอ้วนในวัยเด็ก ไม่เกิดการสะสมของไขมันเสีย จึงทำให้สุขภาพดีขึ้นและเติบโตได้อย่างสมบูรณ์แบบ

6.รับประทานปลอดภัย

การรับประทานเนื้อ Plant based meat จะให้ความปลอดภัยสูง เพราะเนื้อปกติมักจะมีปัญหาเรื่องของเนื้อปนเปื้อนสารพิษ, เนื้อผิดกฎหมายไม่ได้มาตรฐาน หรือแม้แต่โรคต่างๆ ที่มากับเนื้อสัตว์

ทั้งยังมีเรื่องของไขมันที่แทรกซึมตามเนื้อจริงแล้วอาจจะก่อให้เกิดโรคร้ายสำหรับผู้ที่รับประทานได้ แต่สำหรับเนื้อ Plant based Meat นั้นจะผลิตมาจากพืชและส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติที่ผ่านการวิจัยมาเป็นอย่างดีและในพืชเหล่านี้ถูกเลี้ยงมาอย่างปลอดภัย

โดยผู้ที่ผลิตเนื้อ Plant based meat ส่วนใหญ่จะเลือกใช้เป็นผักแบบออแกนิค ปลอดสารพิษที่สามารถให้ทำความปลอดภัยในเรื่องของสุขภาพและให้สารอาหารที่ครบถ้วนอีกด้วย

7.เทรนด์ธุรกิจขายดีแห่งอนาคต

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) กลายมาเป็นที่สนใจของคนทั่วโลก จึงทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่ที่เป็นธุรกิจด้านอาหารเริ่มหันมาค้นคว้าและต้องการเนื้อชนิดนี้มาขายแทนเนื้อจริง

จึงทำให้แบรนด์ใหญ่ของวงการอาหารกระโดดลงมาทำเนื้อ Plant based meat ออกขายเป็นของตัวเอง โดยมีบริษัทที่ถูกพูดถึงอย่าง Beyond Meat และ Impossible food ที่สามารถทำเนื้อผลิตและส่งขายให้กับร้านเบอร์เกอร์กับร้านสเต็กจนกลายมาเป็นการเปิดตลาดที่มีมูลค่าสูง

ทั้งยังทำให้หุ้นของทางบริษัทพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 

โดยเฉพาะในบริษัท Beyond Meat ที่ตั้งแต่ข่าวมีของ Plant based meat แพร่กระจายออกไปหุ้นของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นกว่า 700 เปอร์เซ็นต์และยังมีการคาดเดาในเรื่องของรายได้ปี 2562 ที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกกว่า 170%

นั่นทำให้รู้ว่ามีนักธุรกิจด้านอาหารสนใจต่ออาหารชนิดนี้เป็นอย่างมาก ทางบริษัทจึงตัดสินใจส่งเนื้อให้กับทางเบอร์เกอร์คิงแล้วทำการเปิดตัวเมนู Impossible Whopper ที่ตีโจทย์ในเรื่องของเนื้อสัตว์จากพืชเพื่อสุขภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 

แต่ในขณะเดียวกัน คือรสชาติและโภชนาการยังคงครบถ้วน หลังจากการเปิดตัว Impossible Whopper ได้ไม่นานก็กลายมาเป็นกระแสโด่งดังจนทำให้ธุรกิจอาหารเจ้าอื่น เริ่มหันมาสนใจเนื้อชนิดนี้กันเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นเนื้อ Plant based meat จึงถือว่าช่วยกระตุ้นตลาดอาหารแห่งอนาคตและกลายมาเป็นธุรกิจขายดีที่จะมีการพัฒนาต่อยอดเนื้อสัตว์ได้ดีมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

8.พัฒนาอยู่เสมอ

ในอดีตเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) มีผู้ผลิตอยู่เพียงแค่ไม่กี่แห่ง เพราะยังมีข้อจำกัดในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการทำให้เหมือนกับเนื้อสัตว์จริงที่ถือว่าเป็นเรื่องยากที่สุดและเรื่องของสารอาหารภายในเนื้อเสมือนจริง

แต่ในยุคปัจจุบันเมื่อผลการวิจัยออกมาอย่างชัดเจนและกลายเป็นเนื้อ Plant based meat ที่สามารถทำให้ออกมาเหมือนกับเนื้อจริงได้ทั้งรูปลักษณ์, รสชาติ และเนื้อสัมผัส

จึงทำให้เกิดอีกหลายบริษัทที่เข้ามาสู่วงการ Plant based meat และพัฒนาจากการทำเป็นเพียงแค่เนื้อวัวและเนื้อหมูปกติ สู่การเป็นเนื้อปลาทะเลที่ถือว่าทำได้ยาก

แต่ด้วยการพัฒนาที่ก้าวหน้าขึ้นของวิทยาศาสตร์ด้านอาหาร เชื่อว่าไม่นานนักเราจะได้กินเนื้อ Plant based meat ที่ถูกพัฒนาจนครอบคลุมเนื้อสัตว์ทั้งหมดได้แน่นอน

9.ลดปัญหาอาหารขาดแคลนในอนาคต

เมื่อเนื้อสัตว์ถูกทำมาจากพืช การเกษตรจะเฟื่องฟูมากขึ้นและถ้าสิ่งแวดล้อมมีความอุดมสมบูรณ์มากกว่าเดิม ย่อมมีปริมาณของอาหารที่เพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญคือเนื้อ Plant based meat สามารถทำออกมาได้โดยที่มีการสูญเสียทรัพยากรต่ำกว่าการผลิตเนื้อสัตว์จริงหลายเท่า

ดังนั้นจึงทำให้ปัญหาอาหารขาดแคลนและไม่เพียงพอต่อผู้คนทั่วโลกในอนาคตจะลดต่ำลงเรื่อยๆ และทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับอาหารที่มีอย่างเพียงพอ ที่สำคัญคือเนื้อชนิดนี้จะช่วยทำให้โลกของเรา กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

10.ลดค่าใช้จ่ายเรื่องปศุสัตว์

เมื่อใช้เพียงแค่พืชและสารสกัดจากธรรมชาติในการทำให้เป็นเนื้อเสมือนจริง การปศุสัตว์ในอนาคตก็จะลดน้อยลง

จึงทำให้ผู้ที่เลี้ยงปศุสัตว์สามารถลดค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู, ค่าอาหาร, ค่ายา และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเลี้ยงสัตว์ลงได้มาก พร้อมการปรับเปลี่ยนสู่การเป็นเกษตรกร เพื่อทำให้เนื้อ Plant based meat มาแทนที่เนื้อจริงมากขึ้น

ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าการผลิตเนื้อ Plant based meat นั้นจะเสียทรัพยากรน้อยกว่าเนื้อสัตว์เป็นเท่าตัว 

ดังนั้น จึงทำให้ค่าใช้จ่ายในขั้นตอนการผลิตลดลงอย่างชัดเจนและผู้ที่ทำปศุสัตว์สามารถปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายมาเป็นเกษตรกร เพื่อส่งพืชในการผลิตเนื้อ Plant based meat ได้ยังไม่ต้องกังวล

เพราะทางผู้ผลิตเนื้อชนิดนี้หลายแห่งมีการส่งผู้เชี่ยวชาญลงไปช่วยผู้เลี้ยงปศุสัตว์ เพื่อให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่และเตรียมพร้อมเปลี่ยนแปลงสู่การเป็นเกษตรกรที่ปลูกพืชผักให้เหมาะสม พร้อมรับซื้อพืชทั้งหมดจากทางเกษตรกรมือใหม่อีกด้วย

Plant based meat ให้ประโยชน์ต่อสภาพแวดล้อมอย่างไร

เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) มีจุดประสงค์หลักเพื่อการปรับเปลี่ยนวิถีของอาหารในอนาคต เพื่อทำให้อาหารเพียงพอต่อคนทั้งโลกและมีอาหารที่ยั่งยืน ทั้งยังเป็นอาหารที่ให้ประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้ที่รับประทาน ลดปัญหาเรื่องโรคร้ายที่มากับอาหาร

ทำให้ชีวิตผู้คนมีความสุขมากขึ้นและที่สำคัญที่สุดคือการทำให้สภาพแวดล้อมกลับมามีความสมบูรณ์อีกครั้ง ทำให้อาหารกลายมาเป็นตัวช่วยสร้างเสริมความเข้าใจของคนรุ่นใหม่ที่ถูกต้องต่อธรรมชาติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังให้ประโยชน์กับสภาพแวดล้อมของโลกอีกหลากหลายด้าน คือ  

1.ลดการปล่อยของเสีย

อุตสาหกรรมด้านอาหารที่ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์หรืออาหารคน มักจะก่อให้เกิดปัญหาสภาพแวดล้อมอย่างหนักหน่วงจากของเสียที่ถูกปล่อยออกจากโรงงาน โดยเฉพาะการปศุสัตว์ที่มักจะปล่อยของเสียจากมูลสัตว์ลงสู่แม่น้ำ-ลำคลองและนำไปทิ้งส่วนต่างๆ ของธรรมชาติ

ที่สำคัญคือมักจะปล่อยทิ้งไว้เพื่อให้สูญสลายไปเอง ซึ่งในมูลสัตว์นั้นจะมีทั้งก๊าซที่ให้ประโยชน์และก๊าซเสียที่ผสมกันอยู่ หรือแม้แต่ขั้นตอนการผลิตอาหารที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนผสม 

ถ้ามีการปล่อยให้เนื้อสัตว์เน่าเสียแล้วทิ้งลงสู่ท่อระบายน้ำที่จะไหลไปรวมกันจนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของน้ำเสียที่อยู่บนโลก หรือการนำไปทิ้งไว้ในป่า รวมไปถึงการขุดฝังดินก็มักจะสร้างปัญหาเรื่องความเน่าเสียที่ทำลายธรรมชาติได้อย่างน่ากลัว

ดังนั้นถ้าเปลี่ยนมาเป็นการผลิตเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) แล้ว จะทำให้ลดการปล่อยของเสียที่มาจากมูลสัตว์และจากเนื้อสัตว์เน่าเสียกับส่วนผสมอื่นๆ ที่มากับการผลิตอาหารได้เป็นอย่างดี ดังนั้นธรรมชาติจึงจะกลับมาสู่ความอุดมสมบูรณ์ได้ดีอีกครั้ง

2.ธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ยั่งยืน

ถ้ามีการผลิตเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) กันมากขึ้น การปล่อยของเสียจะน้อยลง สภาพแวดล้อมสะอาดขึ้น การจัดการปศุสัตว์หรือสารพิษต่างๆ ที่มาจากการเลี้ยงดูสัตว์จะลดน้อยลงตามไปด้วย

จึงทำให้ธรรมชาติรอบด้านที่เคยถูกทำลาย กลับมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ทั้งยังเป็นความสมบูรณ์แบบที่มีความยั่งยืน ยิ่งถ้ามีการปรับเปลี่ยนพื้นที่จากการปศุสัตว์หรือการเป็นโรงงานผลิตอาหารในรูปแบบดั้งเดิม สู่การเป็นเกษตรกรที่เน้นการปลูกแบบผักอินทรีย์หรือออแกนิค

รวมไปถึงการปรับเปลี่ยนโรงงานให้กลายมาเป็นโรงงานผลิตอาหารจากเนื้อ Plant based meat ก็จะช่วยลดปัญหาเรื่องสภาพแวดล้อมเสียหายลงได้อย่างดีเยี่ยม ดังนั้นธรรมชาติจึงจะกลับมามีความอุดมสมบูรณ์และให้ประโยชน์ต่อมนุษย์ได้มากขึ้นอย่างแน่นอน

3.คนส่วนใหญ่หันมาสนใจสภาพแวดล้อมมากขึ้น

การผลิตเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) นั้นมีจุดประสงค์หลักที่จะทำให้คนรุ่นใหม่หันกลับมาสนใจเรื่องสภาพแวดล้อมกันมากขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นถ้าการผลิตและการขายเนื้อ Plant based meat ประสบความสำเร็จก็จะยิ่งทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจปัญหาของสภาพแวดล้อมได้มากขึ้น

หรือแม้แต่ผู้ที่ไม่เคยสนใจกับเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว เมื่อรับประทานเนื้อ Plant based meat ก็เหมือนกับว่าเป็นการสนับสนุนให้ลดการผลิตเนื้อสัตว์ ลดการปศุสัตว์ และลดขั้นตอนการผลิตที่ทำลายสภาพแวดล้อมไปในตัว

4.ลดโลกร้อน

เมื่อการผลิตเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) ไม่กระทบต่อสภาพแวดล้อม จึงช่วยในเรื่องของการลดการเกิดสภาวะเรือนกระจกลงได้มากกว่า 50% จึงช่วยทำให้ลดปัญหาเรื่องโลกร้อนตามไปด้วย

ซึ่งการผลิตเนื้อ Plant based meat นั้นถูกวิเคราะห์มาแล้วว่าลดการสูญเสียทรัพยากรลงได้มากกว่า 58% สามารถตอบโจทย์ธุรกิจอาหารทั้งในเรื่องของต้นทุนกับกำไรได้ดี และช่วยลดปัญหาเรื่องการปศุสัตว์

ขั้นตอนการผลิตที่จะต้องปล่อยควันพิษและของเสีย รวมไปถึงขั้นตอนของการขนส่งด้วยยานพาหนะที่ไม่ต้องขนส่งบ่อยครั้ง จึงทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ได้แบบไม่ต้องกังวลเรื่องอุบัติภัยต่างๆ จากธรรมชาติที่กำลังเผชิญกัอยู่ในปัจจุบันอีกด้วย

5.ลดการทำลายชีวิต

สำหรับผู้ที่เป็นวีแกนหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานเนื้อสัตว์ สามารถรับประทานเนื้อ Plant based meat ได้โดยไม่ต้องรู้สึกผิด เพราะไม่มีส่วนผสมใดที่เกี่ยวข้องกับเนื้อสัตว์

จึงทำให้ลดการสูญเสียชีวิตของสัตว์ที่เป็นอาหารลงได้เป็นอย่างดี เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ไม่สะดวกต่อการรับประทานอาหารเจ, อาหารมังสวิรัติ หรืออาหารวีแกน เพราะเนื้อ Plant based meat นั้นสามารถนำมาทำอาหารได้เกือบทุกรูปแบบเลยทีเดียว

ความนิยมของ Plant based meat เริ่มต้นจากตรงไหน?

จุดเริ่มต้นของเนื้อ Plant based meat มีที่มาจากเดือนมกราคมปี 2019 ที่ร้านเบอร์เกอร์ชื่อดังของอเมริกาอย่าง Carl’s Jr ที่ออกมาประกาศขายเบอร์เกอร์ที่จะไม่มีส่วนผสมของเนื้อสัตว์

แต่จะเป็นเนื้อที่มาจากพืชทั้งหมดจึงทำให้กระแสเนื้อ Plant based meat เริ่มถูกกระตุ้นขึ้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา จากนั้นได้ไม่นานในช่วงเดือนเมษายนปีเดียวกัน เจ้าใหญ่อย่าง Burger King ก็ประกาศที่จะขายเบอร์เกอร์จากเนื้อ Plant based meat ด้วยเช่นกัน และจะเริ่มทดลองการขาย 59 สาขา 

แต่ด้วยเสียงตอบรับที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เดือนพฤษภาคมในปี 2019 Burger King พร้อมที่จะวางขายเมนูเบอร์เกอร์จากเนื้อ Plant based meat ในทุกสาขา เพื่อให้เป็นเมนูทางเลือกของคนที่ต้องการรักษาสุขภาพและรักษ์โลกมากขึ้น

จากนั้นไม่นานประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการจัดทำงานวิจัยเกี่ยวกับเนื้อ Plant based meat ในเรื่องของยอดขายอาหารสำเร็จรูปที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2013 ยาวมาจนถึงปี 2018 ที่มีอัตราการเติบโตเพียงแค่ปีละ 15.4 เปอร์เซ็นต์ 

แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2018 จนถึงปี 2019 ที่ผ่านมาเพียงแค่ 1 ปีเท่านั้น เนื้อ Plant based meat กลับมียอดขายที่พุ่งขึ้นสูงถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ส่วนข้อมูลของการเติบโตในยอดขายอาหารสำเร็จรูปจากเนื้อ Plant based meat นี้มาจาก NPD Group ที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ภายในประเทศสหรัฐอเมริกาที่จะเน้นขายเนื้อเบอร์เกอร์และแซนวิชจากเนื้อ Plant based meat ส่วนรายใหญ่อย่าง Beyond Meat เอง

เมื่อประกาศที่จะผลิตเนื้อ Plant based meat เพื่อส่งขายให้กับร้านเบอร์เกอร์ดังก็กลับมียอดการขายที่พุ่งทะลุเป้าจนกลายเป็นผลิตขายไม่ทันและมีเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตของตลาดหุ้นที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์อีกด้วย 

ปัจจุบัน Beyond Meat จึงกลายเป็นเจ้าใหญ่แห่งวงการของเนื้อ Plant based meat และมีคาดการณ์ในอนาคตจากเว็บไซต์ Frobs มีการเผยแพร่เรื่องผลวิเคราะห์ของอุตสาหกรรมเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) ว่าภายในปี 2050 เนื้อชนิดนี้จะครองตลาดได้มากถึง 50 เปอร์เซ็นต์ของตลาดเนื้อสัตว์และจะกลายมาเป็นเทรนด์ธุรกิจที่ทำรายได้สูงสุดในโลกอีกด้วย

4 ธุรกิจเด่นที่ผลิตเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat)  อย่างจริงจังในปัจจุบัน เพื่อก้าวไปสู่ตลาดอาหารแห่งอนาคต

เมื่อเนื้อ Plant based meat กลายมาเป็นธุรกิจเด่นในอนาคตที่สามารถให้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ทั้งเรื่องของสุขภาพ สภาพแวดล้อม และการสร้างอาชีพใหม่ให้กับเกษตรกร

จึงทำให้มีกลุ่มธุรกิจใหญ่เริ่มผลิตเนื้อ Plant based meat อย่างจริงจัง ทั้งยังเป็นผู้ผลิตหลักจนทำให้เนื้อจากพืชชนิดนี้กลายเป็นที่แพร่หลาย โดยมี 4 แบรนด์ใหญ่ที่ร่วมพัฒนาและผลิตเนื้อ Plant based meat ออกขายอย่างจริง เพื่อสร้างตลาดเนื้อจากพืชให้กว้างขึ้นในอนาคต ดังต่อไปนี้

1.Beyond Meat

สำหรับ Beyond Meat นั้น ถือว่าเป็นเจ้าใหญ่ของวงการเนื้อ Plant based meat เพราะสามารถผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าของเนื้อชนิดนี้ได้อย่างครอบคลุมในทุกซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาและยังมีการแพร่กระจายเนื้อชนิดนี้ออกขายให้กับร้านอาหารรายใหญ่

รวมไปถึงการร่วมมือกับธุรกิจอาหารยักษ์ใหญ่ภายในประเทศสหรัฐอเมริกาอีกด้วย ทั้งยังเป็นเจ้าแรกที่พัฒนาให้เนื้อ Plant based meat สามารถทำอาหารได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น

จึงกลายเป็นพาร์ทเนอร์ใหญ่ของหลากหลายร้านอาหารทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ทำให้อัตราการเจริญเติบโตของบริษัทพุ่งสูงขึ้นสวนทางกับเศรษฐกิจโลกเลยทีเดียว

2.Impossible Foods

ส่วนของ Impossible Food ถือว่าเป็นพาร์ทเนอร์กับทางเจ้าใหญ่ของเบอร์เกอร์คิง ที่มีการจำหน่ายเมนูดังอย่าง Impossible Wropper ที่เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นทำให้ตลาดอาหารจากเนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) กลายมาเป็นเนื้อที่มีรสชาติดีและได้การยอมรับจากผู้ที่รับประทานเนื้อจริงมากขึ้นเรื่อยๆ และพยายามผลิตให้มีความหลากหลายมากกว่าเดิม ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งเจ้าใหญ่ของวงการเนื้อ Plant based meat ที่ได้เสียงตอบรับดีทีเดียว

3.เนสท์เล่

อีกหนึ่งเจ้าใหญ่ที่กระโดดเข้าสู่ตลาดเนื้อ Plant based meat อย่างเต็มตัวคือเนสท์เล่ บริษัทผู้ผลิตอาหารหลากหลายรูปแบบที่ครอบคลุมตลาดการผลิตอาหารเพื่อสุขภาพ

มีการเปิดตัว Incredible เบอร์เกอร์ในโซนยุโรปตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน เพื่อเป็นการโปรโมทอาหารจาก Plant based meat ที่มีส่วนผสมของทั้งข้าวสาลี, สารสกัดถั่วเหลือง, สารสกัดจากพืชและบีทรูท

พร้อมไปด้วยสารสกัดจากธรรมชาติหลากหลายชนิดและยังมีเมนู Sweet Earth ที่เป็นเบอร์เกอร์จากถั่วที่ถือว่าเป็นเมนูให้รสชาติดีและให้ความอร่อยเทียบเท่าเนื้อจริงอีกด้วย

4.ยูนิลีเวอร์

ยูนิลีเวอร์กลายมาเป็นอีกหนึ่งบริษัทใหญ่ที่เริ่มวางแผนการขายเนื้อ Plant based meat พร้อมการวางแผนการตลาดที่จะนำเนื้อชนิดนี้มาขายแทนผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์จริงในเครือของบริษัทยูนิลีเวอร์ทั้งหมด และต้องการดันให้ตลาดเนื้อเสมือนจริงนี้ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย

แนวโน้มการขายเนื้อ Plant based meat ในอนาคตจะเป็นอย่างไร

ถ้าคุณตามข่าวเรื่องการผลิตเนื้อ Plant based meat คุณจะเห็นว่าเริ่มมีกระแสมาตั้งแต่ปี 2013 แต่ยังไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร จึงทำให้เนื้อชนิดนี้ยังจำกัดการใช้ภายในวงแคบ

แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2018 ที่เนื้อชนิดนี้สามารถพัฒนาสู่การเป็นเนื้อรสชาติดีและเหมือนจริงจนแทบแยกไม่ออก พร้อมการพัฒนามาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ปี 2019 จึงกลายเป็นกระแสที่ถูกจับตามองอย่างมากและกลายเป็น Plant based Food หรือ Impossible Food ที่จะช่วยทำให้การรับประทานเนื้อเทียมหรือเนื้อจากพืชนี้มีรสชาติที่ดีเยี่ยมมากยิ่งขึ้น 

ดังนั้น จึงเกิดเป็นผลของการวิเคราะห์ว่าภายในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดเนื้อสัตว์อาจจะซบเซาลงเพราะเนื้อ Plant based meat หรือเนื้อจากพืชนี้จะสามารถครองตลาดได้มากถึง 50% และความนิยมของเนื้อชนิดนี้จะมีอยู่อย่างยาวนานกว่า 30 ปี

ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ของปี 2018 มีการสำรวจกลุ่มเป้าหมายผู้ที่รับประทานเนื้อกว่า 2,100 คน พบว่ามีผู้ที่ไม่ต้องการซื้อเนื้อ Plant based Food มีสูงถึง 48% 

แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2019 ที่ Plant based Food เริ่มได้รับความนิยมและมีผู้ที่รับประทานแล้วยืนยันว่ารสชาติอร่อยเหมือนเนื้อจริง จึงเกิดการสำรวจใหม่อีกครั้งและกลายเป็นว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามและยืนยันว่าจะไม่รับประทาน Plant based Food นั้นมีลดลงเหลือเพียงแค่ 40% และเมื่อผ่านไปอีก 12 เดือน

พบว่าผู้ที่ตอบแบบสอบถามในคำตอบเดียวกันกลับลดลงเหลือเพียงแค่ 35% เท่านั้น จึงทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าผู้บริโภคเปิดใจต่อการรับประทานเนื้อจากพืชได้มากขึ้น

แนวโน้มในอนาคตของการรับประทานเนื้อสัตว์สังเคราะห์ (Plant based meat) จึงถือว่าสดใสมากและมีอัตราการเจริญเติบโตที่พุ่งสูงเป็นเท่าตัว ดังนั้นจึงถือว่าเป็นธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างยาวนานแน่นอน

ถ้าคุณกำลังสนใจต่อการใช้เนื้อสังเคราะห์ (Plant based meat) เชื่อว่าถ้าคุณอ่านมาถึงตรงจุดนี้ คุณย่อมสามารถตอบคำถามของตัวเองในเรื่องการเลือกรับประทานเนื้อจากพืชหรือการทำธุรกิจเกี่ยวกับเนื้อ Plant based meat ได้มากยิ่งขึ้นแน่นอน

เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นเพียงแค่ผู้บริโภคหรือเป็นผู้ประกอบธุรกิจด้านอาหาร เนื้อ Plant based meat จะให้ประโยชน์แก่ไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะผู้ที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์โดยตรง การรับประทานเนื้อดังกล่าวทดแทนเนื้อสัตว์ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง