จงวิ่งในเส้นทางของตัวเอง: พลังอันไร้พรมแดนของการเริ่มต้นลำพัง

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่ปลายทางวิ่ง รองเท้าผูกแน่น อากาศยามเช้าสดชื่นและมีชีวิตชีวา หัวใจเริ่มเต้นแรง คุณอยากวิ่ง อยากรู้สึกถึงจังหวะการหายใจที่สอดรับกับฝีเท้า อยากให้โลกค่อยๆ เคลื่อนไปตามแรงขาของคุณ แต่ไม่มีใครอยู่ข้างคุณ กลุ่มเพื่อนที่ปกติจะมาก็ไม่ว่าง และคุณเริ่มลังเลว่า “จะเลิกดีมั้ยนะ?”

แล้วจู่ๆ คำพูดหนึ่งก็ลอยเข้ามา เป็นประโยคเรียบง่ายแต่ทรงพลังที่เหมือนแสงสว่างในความลังเลนั้นว่า:

“ถ้าอยากวิ่ง…ก็ออกวิ่งไปเลย ไม่จำเป็นต้องรอใครมาวิ่งด้วย เดี๋ยวถึงวันหนึ่ง วิ่งครั้งที่ห้า หรือครั้งที่ยี่สิบ คนที่คิดเหมือนกันจะมาหาคุณเอง”

ตอนแรกผมคิดว่ามันเป็นแค่คำแนะนำสำหรับนักวิ่งธรรมดา—เป็นเคล็ดลับเล็กๆ สำหรับคนที่ขี้เกียจ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมเริ่มเห็นว่ามันคือหลักการที่ใช้ได้กับชีวิตแทบทุกด้าน ตั้งแต่การไล่ตามความฝัน การทำสิ่งใหม่ ไปจนถึงการสร้างสิ่งที่มีความหมาย


ความกล้าที่จะเริ่มต้นลำพัง

ต้องยอมรับว่าการเริ่มอะไรใหม่ๆ มันน่ากลัวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งตอนเช้า การเริ่มงานอดิเรกใหม่ๆ หรือแม้แต่การเปลี่ยนเส้นทางอาชีพ เสียงในหัวมักจะถามว่า “แล้วถ้าไม่มีใครเข้าใจล่ะ? จะเดินไปคนเดียวไหวเหรอ?” เราอยากมีเพื่อนร่วมทาง อยากให้ใครสักคนเดินไปด้วยกัน จะได้ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

แต่การรอใครสักคน ก็ทำให้หลายครั้งผม “ไม่ได้เริ่มสักที”

ประโยคนั้นเลยเปลี่ยนความคิดผมไปเลยครับ—ออกวิ่งเลย อย่ารอใครมาด้วย เพราะการลุกขึ้นทำด้วยตัวเองมันมีพลังในตัวมันเองอยู่แล้ว มันคือการยืนยันว่า “เรื่องนี้สำคัญกับฉัน” และแค่นั้นก็พอแล้ว

เมื่อก่อนถ้าผมหาคนวิ่งด้วยไม่ได้ ผมก็จะถอดใจ แต่หลังจากเปลี่ยนใจวิ่งคนเดียว ผมกลับรู้สึกเป็นอิสระ ทุกก้าวเหมือนเป็นคำสัญญากับตัวเอง เป็นการท้าทายความลังเลในใจ และทุกครั้งที่ทำได้ มันเหมือนปลดล็อกพลังบางอย่างในตัวเอง


พลังของความสม่ำเสมอ

คำพูดที่ว่า
“เดี๋ยวถึงวันหนึ่ง วิ่งครั้งที่ห้า หรือครั้งที่ยี่สิบ คนที่คิดเหมือนกันจะมาหาคุณเอง”
มีอะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งมาก

มันคือการเชิญให้คุณเชื่อในพลังของ “ความสม่ำเสมอ” ไม่ใช่แค่ลงมือครั้งเดียวแล้วหวังผลทันที แต่คือการแสดงให้เห็นว่าคุณยังอยู่ตรงนี้ ยังคงทำสิ่งที่คุณรัก ไม่ว่าจะมีใครมองเห็นหรือไม่ก็ตาม

ตอนที่ผมเริ่มวิ่งบ่อยๆ ผมไม่ได้มองหาเพื่อนเลยครับ ผมแค่อยากเคลียร์สมอง อยากรู้สึกเป็นอิสระ พอถึงประมาณครั้งที่สิบหรือสิบห้า ผมก็เริ่มเห็นหน้าคนคุ้นๆ บ้าง มีคนพยักหน้าให้ หรือยิ้มให้บ้าง แล้ววันหนึ่งเราก็คุยกันเรื่องเส้นทางวิ่ง สุดท้ายผมก็ได้เข้าร่วมกลุ่มวิ่งของชุมชน

ผมไม่ได้ตามหา “คนที่เหมือนกัน” เลยครับ พวกเขาต่างหากที่เจอผม เพราะผมแค่ “ยังมาเสมอ”


หลักการที่ใช้ได้กับทุกเรื่องในชีวิต

เมื่อผมเริ่มเห็นว่าหลักการนี้ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องวิ่ง ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเลยครับ ผมลองใช้แนวคิดเดียวกันกับการเรียนรู้เรื่องใหม่ การเริ่มต้นโปรเจกต์ และแม้แต่การดูแลสุขภาพจิตตัวเอง

ผมเริ่มเรียนรู้ ลงมือ แล้วแชร์สิ่งที่ทำออกไป ไม่ได้หวังจะมีคนชม หรือให้ใครมาร่วมด้วย แต่สุดท้ายคนที่มีความสนใจคล้ายกันก็เริ่มเข้ามาเชื่อมต่อกับผมเอง

นี่แหละครับคือพลังของความจริงใจ
เมื่อคุณทำอะไรที่มาจากใจ คนที่ “คลื่นตรงกัน” จะสัมผัสได้เอง


เมื่อลำพัง…ไม่ใช่คำว่าท้อแท้

ก็ต้องยอมรับว่าการเดินลำพังไม่ได้ง่ายตลอดทาง บางวันผมเองก็รู้สึกเหงา อยากมีคนคุยด้วย อยากมีเสียงเชียร์

แต่ผมพยายามหาความสุขจาก “กระบวนการ” มากกว่า “เป้าหมาย”
แค่ได้ยินเสียงเท้าตัวเองบนดิน ได้ฟังเสียงลมหายใจ ได้จบงานเล็กๆ ทีละชิ้น—มันก็มากพอให้เดินต่อ

และบางที ถ้าคนที่มีใจตรงกันยังไม่โผล่มาหลังครั้งที่ยี่สิบ ก็ลองเปิดใจสื่อสารออกไปบ้าง แชร์สิ่งที่คุณทำ หรือเข้าร่วมกลุ่มออนไลน์ที่สนใจเหมือนกัน

จำไว้ว่าหัวใจของหลักการนี้คือ
“คุณเริ่มต้นด้วยตัวเอง และเปิดรับเมื่อคนอื่นเข้ามา ไม่ใช่รอให้ครบทีมก่อนถึงจะเริ่ม”


ทำไมเรื่องนี้ถึงสำคัญ

ในยุคที่เราแชร์ทุกอย่างบนโซเชียลมีเดีย มันง่ายที่จะรู้สึกว่าเราต้องมี “ผู้ติดตาม” หรือ “เสียงปรบมือ” ถึงจะเริ่มอะไรบางอย่าง

แต่ความจริงที่สำคัญคือ
การเดินทางทุกเส้น เริ่มที่คุณคนเดียวก่อนเสมอ

คุณไม่ต้องมีทีม ไม่ต้องมีแผนใหญ่
คุณแค่ต้องเริ่ม
แล้วเดินต่อ
แล้วโลกจะค่อยๆ เข้ามาหาคุณเอง


แล้ว “การวิ่ง” ของคุณคืออะไร?

สิ่งที่คุณอยากทำ แต่ยังรอใครสักคนเริ่มด้วยอยู่ใช่ไหม?

ผูกเชือกรองเท้าให้แน่น ออกก้าวแรกเลยครับ
ไม่แน่ว่า ครั้งที่ห้า หรือครั้งที่ยี่สิบ
คุณอาจหันไปข้างๆ แล้วอาจจะพบว่า

คุณไม่ได้เดินอยู่คนเดียวอีกต่อไปแล้ว