มีหนังสือบางเล่มที่เมื่อเราอ่านครั้งแรกตอนเป็นเด็ก จะให้ความรู้สึกต่างจากเมื่อเรากลับมาอ่านอีกครั้งในยามเป็นผู้ใหญ่ “เจ้าชายน้อย” (Le Petit Prince) ที่ประพันธ์โดย อองตวน เดอ แซ็ง-เอ็กซูเปอรี นักบินและนักเขียนชาวฝรั่งเศสในปี 1943 ถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวเช่นนั้น
“สิ่งสำคัญนั้น มองไม่เห็นด้วยตา ต้องใช้หัวใจมองจึงจะเห็น”
— Le Petit Prince
“เจ้าชายน้อย” หรือ Le Petit Prince โดย อองตวน เดอ แซ็ง-เอ็กซูเปอรี ไม่ใช่แค่หนังสือนิทานสำหรับเด็ก แต่เป็นงานเขียนเล่มเล็ก ๆ ที่พาเราออกเดินทางไกลเข้าไปในโลกแห่งปรัชญา ความรัก และความหมายของชีวิตในแบบที่แฝงความอบอุ่นและความเศร้าเอาไว้อย่างงดงาม
เรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง “เจ้าชายน้อย”
หลายคนอาจไม่ทราบว่า แซ็ง-เอ็กซูเปอรีเขียนและวาดภาพประกอบหนังสือเล่มนี้ในช่วงที่เขาลี้ภัยในนิวยอร์กระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากที่ฝรั่งเศสถูกยึดครองโดยนาซี การเขียนเรื่องนี้จึงเป็นเสมือนการหลบหนีจากความโหดร้ายของโลกจริงในขณะนั้น
น่าสนใจว่า หลังจากที่เขาเขียนหนังสือเล่มนี้เสร็จเพียง 1 ปี แซ็ง-เอ็กซูเปอรีก็หายสาบสูญไปพร้อมกับเครื่องบินของเขาในปี 1944 ระหว่างภารกิจสำรวจเหนือทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เหมือนกับโชคชะตาเล่นตลกให้ชีวิตของเขาจบลงเหมือนกับเรื่องราวในหนังสือที่นักบินตกอยู่ในทะเลทราย
เมื่อเด็กชายจากดาว B-612 ปรากฏตัวในทะเลทราย
เรื่องเริ่มต้นเมื่อ “นักบิน” ที่เครื่องบินตกกลางทะเลทรายซาฮารา ได้พบกับเด็กชายลึกลับคนหนึ่งที่ขอให้เขาวาดรูปแกะให้ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเดินทางสู่จักรวาลของ “เจ้าชายน้อย” ที่เล่าถึงโลกของเขา ดอกกุหลาบของเขา และการเดินทางผ่านดาวต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยตัวละครแปลกประหลาดซึ่งเป็นภาพสะท้อนของโลกผู้ใหญ่ที่ดูเหมือนจะ “จริงจังเกินไป”
มุมมองใหม่: เจ้าชายน้อยในฐานะอุปมาของการเดินทางทางจิตวิญญาณ
หากมองลึกลงไป เราอาจตีความว่าการเดินทางของเจ้าชายน้อยเป็นเสมือนการเดินทางทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ดาวแต่ละดวงที่เขาไปเยือนเปรียบเสมือนขั้นตอนต่างๆ ในการพัฒนาจิตใจ หนึ่งในสิ่งที่โดดเด่นใน “เจ้าชายน้อย” คือการวิจารณ์โลกของผู้ใหญ่ที่ลืมวิธีมองโลกด้วยหัวใจ ลืมความสามารถในการตั้งคำถามง่าย ๆ ที่เด็ก ๆ ถามอยู่เสมอ เช่น “ทำไมดวงดาวถึงส่องแสง?” หรือ “อะไรคือสิ่งสำคัญจริง ๆ ในชีวิต?”
ผู้ใหญ่มักจะหมกมุ่นกับตัวเลข ยศตำแหน่ง ทรัพย์สิน หรือสถานะทางสังคม ในขณะที่เจ้าชายน้อยให้คุณค่ากับสิ่งที่มองไม่เห็น เช่น ความรัก ความห่วงใย และความสัมพันธ์ที่มีความหมาย
- ดาวของกษัตริย์ – การติดกับดักของอำนาจและการควบคุม
- ดาวของคนหลงตัวเอง – การหลงใหลในภาพลักษณ์และการยกย่องจากผู้อื่น
- ดาวของคนขี้เมา – การหนีปัญหาผ่านสิ่งเสพติด
- ดาวของนักธุรกิจ – การสะสมทรัพย์สินอย่างไร้ความหมาย
- ดาวของคนจุดไฟ – การติดอยู่ในวังวนของงานที่ไร้จุดหมาย
- ดาวของนักภูมิศาสตร์ – การศึกษาสิ่งต่างๆ โดยไม่เคยสัมผัสประสบการณ์จริง
สุนัขจิ้งจอก… และคำว่า “ผูกพัน”
ตอนที่เจ้าชายน้อยพบกับสุนัขจิ้งจอก คือจุดเปลี่ยนที่สวยงามที่สุดของเรื่อง เพราะเขาได้เรียนรู้ว่า ความรักไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดจากเวลา ความใส่ใจ และความผูกพัน
“เมื่อเธอผูกพันกับใครสักคนแล้ว โลกทั้งใบจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
นี่ไม่ใช่เพียงคำพูดของตัวละคร แต่มันคือหัวใจของหนังสือทั้งเล่ม
เจ้าชายน้อยเรียนรู้จากสุนัขจิ้งจอกว่าความสัมพันธ์และการผูกพันต่างหากที่ให้ความหมายแก่ชีวิต นี่คือบทเรียนสูงสุดของการเดินทางทางจิตวิญญาณ: การเข้าใจว่าความรักและความผูกพันคือแก่นแท้ของการมีชีวิต
เจ้าชายน้อยกับปรัชญาเซน
เรื่องราวของเจ้าชายน้อยมีความคล้ายคลึงกับแนวคิดของปรัชญาเซนอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งการมองโลกด้วยดวงตาที่บริสุทธิ์ (“ตาเด็ก” หรือ “ชิโดชิน” ในภาษาญี่ปุ่น) และการให้ความสำคัญกับปัจจุบันขณะ
เมื่อเจ้าชายน้อยดูแลดอกกุหลาบของเขาทุกวัน หรือเมื่อเขาพูดคุยกับสุนัขจิ้งจอก นั่นคือการดำรงอยู่ในปัจจุบันอย่างเต็มที่ เขาไม่กังวลกับอดีตหรืออนาคต เขาอยู่กับความสัมพันธ์ในปัจจุบันเท่านั้น นี่คือหัวใจของการปฏิบัติธรรมในแบบเซน
ดอกกุหลาบ: มากกว่าความรัก คือความรับผิดชอบ
ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายน้อยกับดอกกุหลาบอาจถูกตีความว่าเป็นเรื่องความรักโรแมนติก แต่มุมมองที่น่าสนใจกว่าคือการมองว่านี่เป็นบทเรียนเรื่องความรับผิดชอบ
ประโยคที่ว่า “เธอเป็นความรับผิดชอบของเธอตลอดไป เธอต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่เธอได้ผูกพัน” เป็นบทเรียนอันลึกซึ้งเกี่ยวกับภาระหน้าที่ที่มาพร้อมกับความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักต่อคน สัตว์เลี้ยง ธรรมชาติ หรือแม้แต่อุดมคติต่างๆ
วิจารณ์สังคมทุนนิยมและวัตถุนิยม
หนึ่งในฉากที่น่าสนใจคือการพบกับนักธุรกิจที่นับดาวอย่างไม่จบสิ้น นี่คือการวิพากษ์วิจารณ์สังคมทุนนิยมและวัตถุนิยมที่แยบยล นักธุรกิจอ้างว่าเขาเป็นเจ้าของดาวทั้งหมดเพียงเพราะเขานับมัน แต่เขาไม่เคยชื่นชมความงามของมัน ไม่เคยรู้สึกถึงความมหัศจรรย์ของจักรวาล
ในยุคที่เราวัดคุณค่าของทุกสิ่งด้วยตัวเลขและมูลค่าทางเศรษฐกิจ บทเรียนนี้ยังคงทันสมัยและตรงประเด็นอย่างน่าตกใจ
การกลับมาพบกับเด็กในตัวเรา
สิ่งที่ทำให้ “เจ้าชายน้อย” เป็นวรรณกรรมที่ทรงพลังคือความสามารถในการเชื่อมต่อผู้อ่านกับความเป็นเด็กในตัวเอง ซึ่งมักถูกฝังลึกภายใต้ “ความเป็นผู้ใหญ่” ที่สังคมบังคับให้เรารับเอาไว้
เมื่อนักบินพยายามวาดรูปช้างที่ถูกงูเหลือมกลืน แต่ผู้ใหญ่กลับมองว่าเป็นเพียงหมวก นี่คือสัญลักษณ์ของการสูญเสียจินตนาการและความสามารถในการมองเห็นความเป็นไปได้ที่ซ่อนอยู่
การอ่าน “เจ้าชายน้อย” ในฐานะผู้ใหญ่จึงเป็นเหมือนการเชิญชวนให้เราค้นพบอีกครั้งว่า การมองโลกด้วยความสงสัยและความตื่นเต้นเหมือนเด็กนั้นมีคุณค่าเพียงใด
“สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายงดงามคือมันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดสักแห่ง”
คุณยังจำความรู้สึกตอนที่อ่าน “เจ้าชายน้อย” ครั้งแรกได้ไหม?