7 ประโยชน์ของบัวหิมะ เพื่อสุขภาพ กับข้อควรรู้ก่อนนำมาใช้อย่างถูกต้อง

หลายคนย่อมต้องเคยได้ยิน “บัวหิมะ” กันมาไม่น้อย เพราะเป็นที่เลื่องลือยิ่งนักในวงการความงาม ว่าสามารถทำให้ผิวหน้าขาวใสอย่างไร้ที่ติได้

และในด้านของประโยชน์เพื่อสุขภาพ บัวหิมะก็มีสรรพคุณในการรักษาบาดแผล ฟื้นฟูร่างกาย เป็นดั่งยาวิเศษในตำนานเลยนั่นเอง แม้บัวหิมะจะจัดว่าเป็นพืชกินหัวชนิดหนึ่ง

แต่ประโยชน์ของมันมากมายกว่าที่หลายคนคาดไม่ถึง วันนี้เราลองมาทำความรู้จักบัวหิมะกันเพิ่มเติมดีกว่า ว่าพืชชนิดนี้คืออะไร และมีสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

ที่มาและลักษณะทั่วไปของบัวหิมะ

บัวหิมะ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Smallanthus sonchifolius เรียกในภาษาอังกฤษว่า Yacon เป็นพืชใต้ดิน ถิ่นกำเนิดของพืชชนิดนี้อยู่ในอเมริกาใต้ อยู่ในวงศ์เดียวกันกับดอกทานตะวัน

มีลักษณะคล้ายมันเทศ ลำต้นมีความสูงประมาณ 2 – 3 เมตร ดอกบัวหิมะจะมีลักษณะเป็นสีขาวหรือสีเขียวอ่อน มักจะขึ้นในที่สูงและมีหิมะปกคลุม ในตำรายาของจีนบอกไว้ว่า บัวหิมะมีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณช่วยแก้อาการข้ออักเสบได้เป็นอย่างดี

ผลบัวหิมะสามารถนำมาทำเป็นอาหารและผลิตเป็นสารให้ความหวานจากธรรมชาติได้ ซึ่งได้แก่ น้ำเชื่อมบัวหิมะ เพราะเต็มไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน ไม่ว่าจะเป็นแคลเซียม แมกนีเซียม เหล็ก สังกะสี เซเลเนียม และมีกรดอะมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่า 20 ชนิด

[alert-success]บัวหิมะเป็นพืชที่มีแคลอรีต่ำ โดยผลบัวหิมะ 100 กรัม จะมีพลังงาน 54 กิโลแคลอรีเท่านั้น ดังนั้นบัวหิมะจึงกลายเป็นอาหารลดน้ำหนักที่ได้รับความสนใจอย่างมาก[/alert-success]

ประโยชน์ของบัวหิมะ

1.ช่วยลดน้ำหนัก

ในบัวหิมะมีน้ำตาลธรรมชาติที่มีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก จากการศึกษาในปี 2009 ได้มีการตีพิมพ์ในนิตยสารวิชาการทางการแพทย์ พบว่า ผู้หญิงที่รับประทานบัวหิมะ ในปริมาณ 0.14 – 0.29 ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 120 วัน จะมีน้ำหนักตัว ดัชนีมวลกายและรอบเอวลดลง เพราะน้ำเชื่อมที่อยู่ในบัวหิมะจะเข้าไปสร้างความรู้สึกอิ่มให้ร่างกาย จึงช่วยลดความหิวลง ทำให้ทานอาหารในปริมาณที่น้อยลง น้ำหนักตัวจึงลดลงได้อย่างง่ายดาย

2.ลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์

ในบัวหิมะมีน้ำตาลธรรมชาติชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ฟรุกโตโอลิโกแซคคาไรด์ (Fructooligosaccharide) มีคุณสมบัติในการลดระดับไตรกลีเซอร์ไรด์ และคอเลสเตอรอลตัวร้าย จากการศึกษาในปี 2011 ได้พบว่า หนูทดลองที่เป็นเบาหวาน เมื่อได้ทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของบัวหิมะติดต่อกันทุกวัน ระดับไตรกลีเซอร์ไรด์และคอเลสเตอรอลตัวร้าย มีอัตราการลดลงอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังมีการศึกษาในมนุษย์ก็แสดงให้เห็นว่า การรับประทานบัวหิมะเป็นประจำ จะช่วยลดไขมันทั้งสองชนิดลงได้เช่นกัน เมื่อระดับไขมันเลวในร่างกายลดลง จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดตามไปด้วย

3.ลดระดับน้ำตาลในเลือด

บัวหิมะจะมีรสชาติหวาน แต่ความหวานนี้มาจากอินนูลิน (Inulin) ซึ่งเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ จากการศึกษาพบว่า อินนูลินเป็นสารที่ส่งเสริมการทำงานของอินซูลินในร่างกาย สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 การรับประทานบัวหิมะอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด นอกจากนี้ความหวานของบัวหิมะยังน้อยกว่าระดับความหวานของน้ำตาลครึ่งหนึ่ง ดังนั้นบัวหิมะจึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน สามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องระดับน้ำตาลในเลือด

4.ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคความดัน

บัวหิมะมีสรรพคุณที่ดีต่อหัวใจ เพราะในบัวหิมะนั้นมีระดับโพแทสเซียมสูง เป็นแร่ธาตุที่มีฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ทำให้ระบบหลอดเลือดและหัวใจเกิดการผ่อนคลาย ช่วยกระตุ้นระบบการไหลเวียนของเลือด ทำมีออกซิเจนในเลือดเพิ่มขึ้น ลดความดันโลหิต จึงช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจให้น้อยลง ที่สำคัญยังช่วยบรรเทาอาการของโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดหัวใจของผู้ป่วยได้อีกด้วย นอกจากนี้โพแทสเซียมในบัวหิมะยังทำหน้าที่ควบคุมความสมดุลของเหลวในเนื้อเยื้อและเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายร่วมกับโซเดียม แต่ควรมีการควบคุมการบริโภคโซเดียมในแต่ละวันให้เหมาะสมด้วย

5.ต้านมะเร็ง

จากการศึกษาในปี 2011 ในวารสารวิชาการ Fitoterapia พบว่า บัวหิมะมีสรรพคุณที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตการกลายพันธ์ของเซลล์มะเร็งได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนัง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และ7 ประโยชน์ของบัวหิมะเพื่อสุขภาพ กับข้อควรรู้ก่อนนำมาใช้อย่างถูกต้อง

โรคมะเร็งของเลือด 3 ชนิด คือ โรคมะเร็งไขกระดูก โรคมะเร็งต่อน้ำเหลือง โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวลดลง นอกจากนี้ในบัวหิมะยังเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกาย ไม่ให้ถูกอนุมูลอิสระทำลาย จนทำให้เกิดการอักเสบต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็ง

6.ป้องกันไขมันพอกตับ

สรรพคุณของบัวหิมะนอกจากจะช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในร่างกายได้แล้ว จากการศึกษาในปี 2008 ยังพบว่า การรับประทานบัวหิมะควบคู่ไปกับไซลิมาริน (Silymarin) จะส่งผลดีต่อผู้ป่วยที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบเผาผลาญในร่างกายจนทำให้เกิดภาวะอ้วนลงพุง จากการศึกษาพบว่า เมื่ออาสาสมัครรับประทานบัวหิมะวันละ 2.4 กรัม และสารไซลิมาริน (Silymarin) วันละ 0.8 กรัม ติดต่อกัน 90 วัน จะมีระดับคอเลสเตอรอลลดลง ทำให้ปริมาณไขมันในตับลดลงได้ จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะไขมันพอกตับลงได้

7.กระตุ้นระบบขับถ่าย ลดอาการท้องผูก

ในบัวหิมะนั้นมีโพรไบโอติกเป็นแบคทีเรียชนิดดีต่อร่างกาย ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น แถมยังช่วยลดปัญหาเรื่องระบบขับถ่าย ช่วยลดอาการท้องผูก ท้องอืด ป้องกันการเกิดเนื้องอกในกระเพาะอาหารหรือมะเร็งลำไส้ให้ลดลงได้ ไฟเบอร์ในบัวหิมะก็ช่วยเสริมระบบขับถ่ายให้ดีขึ้นด้วย บัวหิมะจึงเป็นพืชที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพดีได้อย่างแท้จริง
ข้อควรรู้เกี่ยวกับการใช้บัวหิมะ

ถึงแม้บัวหิมะจะมีสรรพคุณที่ดีต่อสุขภาพ แต่คนเราก็ไม่ควรบริโภคบัวหิมะในปริมาณมากได้ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ดังนั้นคนที่มักจะมีอาการแพ้ง่าย ควรปรึกษาแพทย์ก่อนจะกินจะดีที่สุด

โดยในปัจจุบัน ได้มีการนำบัวหิมะมาสกัดเป็นครีมบัวหิมะ เพื่อแก้อาการแพ้ ได้แก่ สิวอักเสบ ผื่นแดง แสบร้อน น้ำร้อนลวก และไฟไหม้ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูผิวที่ถูกทำลายจากแสงแดด นอกจากการกินสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำบัวหิมะมาประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่น ต้มซุปกระดูกหมู หรือสามารถนำไปทำเป็นของหวานได้อีกด้วย เช่น ทับทิมกรอบบัวหิมะ ก็มีรสชาติที่อร่อย และมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

บัวหิมะนั้น เป็นพืชที่มีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย ช่วยลดความอ้วน ลดการสะสมคอเลสเตอรอลในร่างกาย ทำให้สุขภาพหัวใจแข็งแรง อีกทั้งยังเป็นพืชที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามิน มีสารอนุมูลอิสระสูง ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากโรคมะเร็ง ประโยชน์ของบัวหิมะมากมายถึงเพียงนี้ ห้ามพลาดพืชชนิดนี้กันอย่างเด็ดขาด