ในชีวิตประจำวันของเรา การตัดสินใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ เช่น การเลือกซื้อของกินที่ตลาด หรือเรื่องใหญ่ ๆ เช่น การลงทุนในธุรกิจหรือการเปลี่ยนงาน แต่คุณเคยสงสัยไหมว่า บางครั้งการตัดสินใจของเราอาจไม่ได้มาจากเหตุผลที่สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด? “อคติทางความคิด” (Cognitive Biases) คือตัวการสำคัญที่แอบบิดเบือนความคิดและการตัดสินใจของเราโดยที่เราไม่รู้ตัว อคติเหล่านี้เป็นรูปแบบการคิดที่เบี่ยงเบนจากความเป็นเหตุเป็นผล ซึ่งเกิดจากสมองของเราพยายามหาทางลัดเพื่อประมวลผลข้อมูลจำนวนมากในเวลาอันสั้น
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 12 อคติทางความคิดที่ฉุดรั้งคุณไว้ ซึ่งอ้างอิงจากแนวคิดของ Benjamin Bargetzi โดยเราจะเจาะลึกถึงความหมายของแต่ละอคติ พร้อมยกตัวอย่างที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เข้าใจง่ายและเห็นภาพชัดเจน นอกจากนี้ยังมีวิธีรับมือเพื่อช่วยให้คุณตัดสินใจได้ดีขึ้น รวมถึงแหล่งอ้างอิงเพิ่มเติม 4 แหล่งสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาเชิงลึก มาดูกันเลย!
อคติทั้ง 12 และวิธีรับมือ
1. Status Quo Bias (อคติการยึดติดกับสถานะเดิม)
- ความหมาย: อคตินี้เกิดจากความชอบของมนุษย์ที่อยากให้ทุกอย่างคงอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะการเปลี่ยนแปลงมักมาพร้อมความไม่แน่นอนที่ทำให้เรารู้สึกกลัว
- ตัวอย่าง: ลองนึกภาพคุณป้าที่ซื้อน้ำปลายี่ห้อเดิมมานาน 20 ปี แม้ว่าจะมีน้ำปลายี่ห้อใหม่ที่รสชาติดีกว่าและราคาถูกกว่า คุณป้าก็ยังไม่ยอมเปลี่ยน เพราะกลัวว่ารสชาติอาจไม่ถูกปากเหมือนยี่ห้อเก่า
- ผลกระทบ: คุณอาจพลาดโอกาสดี ๆ ในชีวิต เช่น การเปลี่ยนงานที่เงินเดือนสูงกว่า หรือลองใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
- วิธีรับมือ: ลองตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าฉันไม่เคยชินกับสิ่งนี้มาก่อน ฉันจะเลือกมันจริง ๆ หรือ?” หรือทดลองเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ซื้อน้ำปลายี่ห้อใหม่มาใช้แค่ขวดเดียว เพื่อดูว่าดีกว่าจริงหรือไม่
2. Confirmation Bias (อคติการยืนยัน)
- ความหมาย: คุณมักจะค้นหาและเชื่อข้อมูลที่สนับสนุนความคิดหรือความเชื่อของตัวเอง และมองข้ามข้อมูลที่ขัดแย้ง
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณเชื่อว่าการกินทุเรียนทำให้อ้วน คุณอาจเลือกอ่านเฉพาะบทความที่บอกว่าทุเรียนมีแคลอรีสูง โดยไม่สนใจงานวิจัยที่บอกว่าทุเรียนมีประโยชน์ต่อสุขภาพถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสม
- ผลกระทบ: ทำให้มุมมองของคุณแคบลง และอาจตัดสินใจผิดพลาดจากข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน
- วิธีรับมือ: ฝึกเปิดใจรับฟังความเห็นที่แตกต่าง เช่น ลองอ่านบทความที่พูดถึงข้อดีของทุเรียน หรือถามเพื่อนที่ชอบกินทุเรียนว่าทำไมเขาถึงชอบ เพื่อให้ได้มุมมองที่รอบด้าน
3. Anchoring Bias (อคติการยึดติดกับข้อมูลแรก)
- ความหมาย: คุณให้ความสำคัญกับข้อมูลชิ้นแรกที่ได้รับมากเกินไป และใช้มันเป็นจุดอ้างอิงในการตัดสินใจ แม้ว่าจะมีข้อมูลใหม่ที่แม่นยำกว่า
- ตัวอย่าง: เวลาไปซื้อของที่ตลาด แม่ค้าบอกราคามะม่วงกิโลละ 150 บาท คุณต่อราคาลงมาเหลือ 120 บาท และรู้สึกว่าได้ของถูก แต่จริง ๆ แล้วร้านข้าง ๆ ขายแค่ 100 บาท คุณถูก “ยึดติด” กับราคาแรกที่ 150 บาท
- ผลกระทบ: อาจทำให้คุณจ่ายแพงเกินความจำเป็น หรือถูกหลอกได้ง่ายในการเจรจา
- วิธีรับมือ: ก่อนตัดสินใจ ลองสำรวจราคาหรือข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น เดินดูร้านอื่นในตลาด หรือค้นหาข้อมูลออนไลน์ เพื่อไม่ให้ยึดติดกับ “จุดยึด” เดิม
4. Attribution Error (ข้อผิดพลาดในการตีความพฤติกรรม)
- ความหมาย: คุณมักตีความพฤติกรรมของคนอื่นจากนิสัยส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงสถานการณ์ที่อาจเป็นปัจจัย
- ตัวอย่าง: เพื่อนร่วมงานมาสาย คุณคิดว่าเขา “ขี้เกียจ” โดยไม่รู้ว่าเช้าวันนั้นรถติดหนักจากอุบัติเหตุบนถนนพระราม 4
- ผลกระทบ: นำไปสู่การเข้าใจผิด และอาจทำลายความสัมพันธ์โดยไม่จำเป็น
- วิธีรับมือ: ก่อนตัดสินใคร ลองนึกถึงสถานการณ์ที่อาจส่งผลต่อเขา เช่น “เขาอาจเจอปัญหาอะไรบางอย่าง” และถามเขาตรง ๆ เพื่อความชัดเจน
5. Groupthink (การคิดตามกลุ่ม)
- ความหมาย: คุณเห็นด้วยกับกลุ่มเพื่อรักษาความกลมเกลียว แม้ว่าจะรู้สึกว่าความเห็นนั้นอาจไม่ถูกต้อง
- ตัวอย่าง: ในที่ประชุมบริษัท ทุกคนเห็นด้วยกับแคมเปญโฆษณาใหม่ คุณรู้สึกว่ามันอาจไม่เหมาะกับกลุ่มลูกค้า แต่ไม่กล้าพูด เพราะกลัวถูกมองว่าไม่ร่วมมือ
- ผลกระทบ: อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด และขาดความคิดสร้างสรรค์
- วิธีรับมือ: ส่งเสริมให้ทุกคนในกลุ่มกล้าแสดงความเห็น เช่น ใช้การโหวตแบบไม่ระบุชื่อ หรือตั้งคนในทีมให้เป็น “ผู้ท้าทาย” เพื่อตั้งคำถามกับความเห็นของกลุ่ม
6. Hindsight Bias (อคติจากมุมมองย้อนหลัง)
- ความหมาย: คุณมองว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วนั้น “คาดเดาได้” แม้ว่าตอนนั้นคุณจะไม่รู้มาก่อน
- ตัวอย่าง: หลังจากที่ทีมฟุตบอลไทยแพ้ในนัดสำคัญ คุณบอกว่า “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขาจะแพ้” ทั้งที่ก่อนแข่งคุณเชียร์สุดใจและไม่ได้คาดการณ์แบบนั้นเลย
- ผลกระทบ: ทำให้คุณมั่นใจในตัวเองมากเกินไป และไม่เรียนรู้จากข้อผิดพลาดจริง ๆ
- วิธีรับมือ: จดบันทึกความคิดของคุณก่อนเหตุการณ์จะเกิด เช่น เขียนว่า “ฉันคิดว่าทีมไทยมีโอกาสชนะ 60%” เพื่อดูว่าคุณคาดการณ์แม่นแค่ไหน และพัฒนาการตัดสินใจในอนาคต
7. Availability Heuristic (การตัดสินจากสิ่งที่จำได้ง่าย)
- ความหมาย: คุณตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลที่อยู่ในหัวทันที แทนที่จะพิจารณาข้อมูลทั้งหมด
- ตัวอย่าง: หลังจากเห็นข่าวเครื่องบินตก คุณกลัวการขึ้นเครื่องบินมากขึ้น ทั้งที่สถิติบอกว่าการเดินทางด้วยรถยนต์ในประเทศไทยมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูงกว่ามาก
- ผลกระทบ: ทำให้คุณกลัวหรือตัดสินใจโดยไม่มีเหตุผลรองรับ
- วิธีรับมือ: ค้นหาข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง เช่น ดูสถิติอุบัติเหตุของการเดินทางแต่ละประเภท เพื่อให้ตัดสินใจโดยอิงจากความเป็นจริงมากขึ้น
8. Framing Effect (ผลกระทบจากการนำเสนอ)
- ความหมาย: การตัดสินใจของคุณขึ้นอยู่กับวิธีที่ข้อมูลถูกนำเสนอ แม้ว่าข้อมูลจะเหมือนกัน
- ตัวอย่าง: คุณเลือกซื้อนมที่โฆษณาว่า “ไร้ไขมัน 99%” มากกว่า “มีไขมัน 1%” แม้ว่าจะเป็นนมกล่องเดียวกัน เพราะคำว่า “ไร้ไขมัน” ฟังดูน่าสนใจกว่า
- ผลกระทบ: คุณอาจถูกชักจูงจากคำโฆษณา และเลือกสิ่งที่ไม่เหมาะกับความต้องการจริง ๆ
- วิธีรับมือ: ลองวิเคราะห์ข้อมูลในมุมต่าง ๆ เช่น “99% ไร้ไขมัน” ก็คือ “1% มีไขมัน” เพื่อให้เข้าใจเนื้อหาที่แท้จริงก่อนตัดสินใจ
9. Halo Effect (ผลกระทบจากภาพลักษณ์)
- ความหมาย: คุณตัดสินคนหรือสิ่งต่าง ๆ จากลักษณะเด่นเพียงด้านเดียว และมองข้ามข้อบกพร่อง
- ตัวอย่าง: คุณเห็นดาราคนโปรดร้องเพลงเก่ง เลยคิดว่าเขาจะต้องทำธุรกิจเก่งด้วย โดยไม่สนใจว่าแบรนด์ที่เขาทำขาดทุนมา 2 ปีแล้ว
- ผลกระทบ: ทำให้คุณตัดสินใจโดยขาดความรอบคอบ และอาจคาดหวังเกินจริง
- วิธีรับมือ: แยกแยะคุณสมบัติแต่ละด้าน เช่น ถ้าจะลงทุนกับดาราคนนี้ ดูผลประกอบการจริง ๆ ไม่ใช่แค่ชื่อเสียงของเขา
10. Self-Serving Bias (อคติเพื่อปกป้องตัวเอง)
- ความหมาย: คุณให้เครดิตตัวเองเมื่อสำเร็จ แต่โทษปัจจัยอื่นเมื่อล้มเหลว
- ตัวอย่าง: ถ้าคุณสอบได้คะแนนดี คุณบอกว่า “ฉันฉลาด” แต่ถ้าสอบตก คุณโทษว่า “ข้อสอบยากเกินไป” หรือ “อาจารย์สอนไม่ดี”
- ผลกระทบ: ทำให้คุณไม่ยอมรับข้อผิดพลาด และพัฒนาตัวเองได้ช้า
- วิธีรับมือ: ฝึกการสะท้อนตัวเอง เช่น หลังสอบถามตัวเองว่า “ฉันเตรียมตัวดีแค่ไหน? และฉันจะปรับปรุงอะไรได้บ้าง?” เพื่อรับผิดชอบผลลัพธ์ของตัวเองมากขึ้น
11. Negativity Bias (อคติด้านลบ)
- ความหมาย: คุณให้ความสำคัญกับสิ่งลบมากกว่าสิ่งดี แม้ว่าสิ่งดีจะมีมากกว่า
- ตัวอย่าง: คุณไปเที่ยวกับเพื่อนและสนุกทั้งวัน แต่จำแค่ตอนที่ฝนตกและเปียกจนรู้สึกหงุดหงิด โดยลืมช่วงเวลาดี ๆ ไป
- ผลกระทบ: ทำให้คุณมองโลกในแง่ร้าย และอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต
- วิธีรับมือ: จดบันทึกสิ่งดี ๆ ในแต่ละวัน เช่น เขียนว่า “วันนี้ฉันได้กินข้าวเหนียวมะม่วงอร่อย ๆ” เพื่อเตือนตัวเองให้เห็นด้านบวกมากขึ้น
12. Sunk Cost Fallacy (อคติจากต้นทุนที่จม)
- ความหมาย: คุณยึดติดกับสิ่งที่ลงทุนไปแล้ว (เวลา เงิน ความพยายาม) แม้ว่ามันจะไม่คุ้มที่จะทำต่อ
- ตัวอย่าง: คุณจองตั๋วหนัง 200 บาท แต่ดูไป 30 นาทีแล้วรู้สึกว่าไม่สนุก คุณยังนั่งดูต่อเพราะเสียดายเงิน ทั้งที่การเดินออกมาจะทำให้คุณมีเวลาไปทำอย่างอื่นที่คุ้มค่ากว่า
- ผลกระทบ: ทำให้เสียทรัพยากรเพิ่มโดยไม่เกิดประโยชน์
- วิธีรับมือ: ถามตัวเองว่า “ถ้าฉันยังไม่ได้จ่ายเงินหรือลงทุนไป ฉันจะยังทำสิ่งนี้ต่อไหม?” ถ้าคำตอบคือไม่ ก็ควรหยุดและมองหาทางเลือกใหม่
วิธีรับมือกับอคติทางความคิดอย่างได้ผล
การกำจัดอคติทางความคิดอาจเป็นเรื่องยาก เพราะมันฝังอยู่ในธรรมชาติของมนุษย์ แต่เราสามารถลดผลกระทบได้ด้วยวิธีเหล่านี้:
- ตระหนักรู้ (Awareness): การรู้ว่าอคติมีอยู่จริงและอาจเกิดขึ้นกับเราได้ทุกเมื่อ เป็นก้าวแรกที่สำคัญ
- คิดอย่างมีวิจารณญาณ (Critical Thinking): ตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น “ฉันตัดสินใจจากข้อเท็จจริงหรืออคติ?” หรือ “มีข้อมูลอะไรที่ฉันยังมองข้ามไป?”
- หามุมมองที่หลากหลาย (Seek Diverse Perspectives): ปรึกษาคนที่มีความคิดต่างออกไป หรืออ่านข้อมูลจากหลายแหล่ง เพื่อให้ได้ภาพที่ครบถ้วน
- ฝึกสติ (Mindfulness): การมีสติช่วยให้คุณจับได้ว่าความคิดไหนเกิดจากอคติ เช่น หยุดและสังเกตว่า “ฉันกำลังกลัวการเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า?”
ปลดล็อกตัวเองจากอคติ
อคติทางความคิดทั้ง 12 นี้เป็นสิ่งที่เราทุกคนพบเจอในชีวิตประจำวัน แต่ถ้าเรารู้จักมันและฝึกฝนวิธีรับมือ เราจะสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเลือกซื้อของ การลงทุน หรือการจัดการความสัมพันธ์ ลองเริ่มจากการสังเกตตัวเองวันนี้ ว่าคุณมีอคติตัวไหนที่เด่นชัด และลองใช้วิธีที่แนะนำเพื่อปรับปรุงการตัดสินใจของคุณ
อ้างอิง

สำหรับคนที่อยากเจาะลึกเรื่องอคติทางความคิดและพฤติกรรมมนุษย์ ต่อไปนี้คือแหล่งข้อมูลที่แนะนำ 4 แหล่ง:
- Kahneman, D. (2011). Thinking, Fast and Slow. Farrar, Straus and Giroux.
- หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Daniel Kahneman นักจิตวิทยารางวัลโนเบล อธิบายการทำงานของสมองในสองระบบ (คิดเร็วและคิดช้า) และอคติที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ
- Ariely, D. (2008). Predictably Irrational: The Hidden Forces That Shape Our Decisions. HarperCollins.
- Dan Ariely นำเสนออคติในมุมที่สนุกและเข้าใจง่าย ผ่านการทดลองและตัวอย่างจากชีวิตจริง
- Thaler, R. H., & Sunstein, C. R. (2008). Nudge: Improving Decisions About Health, Wealth, and Happiness. Yale University Press.
- หนังสือเล่มนี้สำรวจว่าอคติส่งผลต่อพฤติกรรมอย่างไร และเสนอวิธี “สะกิด” ให้คนตัดสินใจดีขึ้น
- Gilovich, T., Griffin, D., & Kahneman, D. (Eds.). (2002). Heuristics and Biases: The Psychology of Intuitive Judgment. Cambridge University Press.
- หนังสือรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับอคติและทางลัดของสมอง เหมาะสำหรับคนที่อยากศึกษาแบบลงลึก